คังหลินเงยหน้ามองท้องฟ้าที่แตกร้าวเหมือนกระจกด้วยสีหน้าเคร่งเครียด มันได้ถูกแบ่งครึ่งออกเป็นสองส่วน จากการปะทะพลังของผู้แข็งแกร่งสองฝ่าย
ด้านซ้ายคือวงแหวนพุทธานุภาพเจ็ดสีของเหล่าพระโพธิสัตว์ ส่วนด้านขวาคือกำปั้นยักษ์แห่งกฎเกณฑ์ของหลินซินเยว่ ซึ่งขุมพลังขั้วตรงข้ามทั้งสองกำลังรุกคืบบดขยี้ใส่กันอย่างดุเดือด ไม่มีใครยอมใคร
ปรากฏการณ์อันน่าตื่นตระหนกในรอบแสนปีนี้ ได้ถูกมองเห็นโดยผู้อยู่อาศัยทุกคนในโลกทิพย์สัตว์อสูร ตลอดจนสิ่งมีชีวิตทั้งหมดของดวงดาวในระบบสุริยะข้างเคียง
แน่นอนว่าสิ่งเดียวที่พวกมันทำได้ ก็คือการเงยหน้ามองม่านพลังสีทองปกคลุมท้องฟ้า แล้วสวดภาวนาด้วยความหวาดกลัวเท่านั้น
เพราะตราบใดที่เขตอาคมป้องกันของมหาเทพอวี่หวงและสิบผู้ยิ่งใหญ่แห่งแดนสวรรค์ยังคงอยู่ ทุกอย่างจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
ในทางกลับกัน หากม่านพลังของเขตอาคมถูกทำลายไปเสียก่อน ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็คือดวงดาวหลายพันดวงในดาราจักรแห่งนี้จะถูกบดขยี้เป็นผุยผง
“ เอ่อ นายน้อยสอง องค์จักรพรรดินีไม่ต้องการความช่วยเหลือจากพวกเราแน่หรือ ปล่อยให้ท่านรับมือกับศัตรูแข็งแกร่งจำนวนมากแบบนี้เพียงลำพัง ดูจะเป็นการฝืนตัวเองไปหรือเปล่า ” ผู้นำตระกูลปิงกู่ถามขึ้นอย่างกังวล ศึกครั้งนี้เดิมพันด้วยชะตากรรมความอยู่รอดของตระกูลปิงกู่ทั้งตระกูล พวกเขาย่อมต้องรู้สึกกดดันเป็นเรื่องธรรมดา
“ บอกพวกเจ้าโดยไม่ปิดบัง การประสานพลังกันระหว่างพระโพธิสัตว์ตี้จั้งหวังกับพระโพธิสัตว์ระดับสูงทั้งหกองค์ เหนือล้ำกว่าที่ข้าคาดการณ์เอาไว้มาก ความแข็งแกร่งของพวกเขาแทบจะเทียบเท่าขอบเขตจักรพรรดิเทพเลยทีเดียว ”
“ ถึงแม้ข้าจะยังเชื่อมั่นว่าท่านอาจารย์ต้องเป็นผู้ชนะในท้ายที่สุด แต่มันก็คงเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบากแน่นอน เพราะสัตว์อสูรพาหนะเจ็ดตัวนั้นยังไม่ได้ลงมือเลยด้วยซ้ำ ” คังหลินตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง
อันที่จริงคังหลินรู้ว่าหลินซินเยว่ยังเก็บซ่อนอาวุธลับบางอย่างเอาไว้ แต่เขาจงใจไม่บอกออกไปเพื่อทดสอบท่าทีของตระกูลปิงกู่ไปในตัว ว่าเหมาะสมจะเป็นพันธมิตรกันในระยะยาวหรือไม่
“ หืม นั่นมัน ” ผู้นำตระกูลปิงกู่หลุดปากออกมาอย่างลืมตัว เมื่อเห็นสัตว์อสูรพาหนะทั้งเจ็ดเริ่มกระตุ้นสายโลหิตศักดิ์สิทธิ์ เนรมิตกายแท้ให้ใหญ่โตมโหฬาร แล้วพุ่งเข้าโจมตีหลินซินเยว่จากทางด้านหลังเพื่อแบ่งแยกความสนใจ
“ ไม่ต้องกังวล หากพวกมันคิดว่าแผนการชั้นต่ำแบบนี้จะใช้กับท่านอาจารย์ได้สำเร็จ ก็คงถือเป็นเรื่องเพ้อฝันเกินไป ” คังหลินพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
และก็เป็นตามที่เขาได้คาดการณ์เอาไว้ เพราะพริบตาที่การโจมตีของสัตว์อสูรทั้งเจ็ดกำลังจะถึงตัวหลินซินเยว่ ก็ได้ถูกหลุมดำที่ปรากฏขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว ดูดกลืนทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไปทันที
“ เหอะ! พวกเจ้ารนหาที่เองนะ ” หลินซินเยว่แค่นเสียงเย็นชา ก่อนจะใช้มือข้างที่ว่างอยู่ชักกระบี่คู่กายออกมาฟันไปยังกลุ่มสัตว์อสูรของฝ่ายตรงข้าม
“ คลื่นดารากระจ่างฟ้า! ”
วิ้งงง!
มองเห็นวิถีกระบี่วาดเป็นเส้นโค้งงดงาม เกิดเป็นภาพลวงตาของเงากระบี่มากมายสุดคณานับ ถาโถมออกไปอย่างมืดฟ้ามัวดิน
ก๊าซซซ! ฉัวะ!ๆๆๆๆๆๆๆๆ เปรี้ยง!ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
เต่าดำยักษ์ได้อาศัยกระดองอันแข็งแกร่งของมัน พยายามป้องกันการโจมตีทั้งหมดให้เหล่าสหายที่หลบอยู่ด้านหลัง แต่ก็น่าเสียดายที่มันประเมินตัวเองสูงเกินไป
เพราะนี่คือเคล็ดวิชาโจมตีเฉพาะของกระบี่จักรพรรดิดารา ซึ่งเป็นอาวุธระดับพระเจ้าเพียงหนึ่งเดียวของสำนักดาราสวรรค์ ที่สืบทอดต่อกันมาตั้งแต่ยุคบรรพกาล หาใช่สิ่งที่สัตว์อสูรระดับเทพโลกาขั้นเก้าปกติจะต้านทานได้
ตูมม! แกร่ก!
เพียงเวลาไม่ถึงสองลมหายใจ กระดองเต่าดำก็แตกละเอียดเป็นชิ้นๆจากการโจมตีซ้ำตำแหน่งเดิมอย่างต่อเนื่อง ส่วนลำตัวที่ซ่อนอยู่ของมันก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส จนต้องสลายร่างเป็นลำแสงบินหนีไป
ทันใดนั้น
กลุ่มสัตว์อสูรที่หลบซ่อนในตอนแรก ได้ผสานพลังกันต่อแถวเป็นเส้นตรง พุ่งสวนการโจมตีของเงากระบี่นับล้าน ราวกับหอกอันแหลมคม
โฮกกก! เปรี้ยง!ๆๆๆๆ ก๊าซซซซ! ฉัวะ!ๆๆๆๆๆ
แน่นอนว่า เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอานุภาพของอาวุธระดับพระเจ้า สัตว์อสูรที่อยู่หัวขบวนก็ถูกทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส สลายร่างเป็นลำแสงหนีไปทีละตัว
จนกระทั่งเมื่อเหลือสุนัขสีขาวเป็นตัวสุดท้าย มันก็บุกฝ่าการโจมตีของคลื่นเงากระบี่ออกมาได้ในที่สุด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน