ภายในคลังสมบัติลับจักรพรรดิเทพหมื่นตะวัน จ้าวเทียนกับเทพกระบี่มองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าด้วยอารมณ์ที่บอกไม่ถูก
โดยเฉพาะจ้าวเทียน ที่ก่อนหน้านี้ได้ทำใจเตรียมพร้อมจะต่อสู้กับเสวี่ยหลงอยู่แล้ว แต่ใครเล่าจะคิดว่า เมื่ออีกฝ่ายรับรู้ถึงสถานะผู้สืบทอดจักรพรรดิหมื่นตะวันรุ่นที่สิบของตนจะเปลี่ยนการแสดงออกจากหน้ามือเป็นหลังมือทันที
“ เรื่องทั้งหมดก็เป็นไปตามที่ข้าได้เล่าเมื่อครู่ เจ้านายของข้ายังคงยึดมั่นในคำปฏิญาณที่ให้ไว้กับท่านตราบจนเสี้ยววินาทีสุดท้ายของชีวิต ” พูดจบ เสวี่ยหลงก็โค้งคำนับร่างเจตจำนงของซวนไท่หยางจักรพรรดิเทพหมื่นตะวันรุ่นที่เก้าอย่างนอบน้อม
เขาได้รายงานผลการปฏิบัติภารกิจตลอดหนึ่งล้านปีของตนเอง รวมไปถึงการสืบหาตัวตนของศัตรูที่อยู่เบื้องหลังมหาสงคราม และการสร้างดินแดนมรดกเพื่อคัดเลือกผู้สืบทอดให้กับเจ้านายไปจนหมดสิ้น
“ สรุปแล้ว น้องฟ่านสามารถอาศัยสงครามในครั้งนั้น จนบรรลุเต๋าแห่งกระบี่ขั้นสูงสุดได้จริงๆสินะ ขอบคุณเจ้ามากที่นำเรื่องนี้มาบอกข้า เท่านี้ข้าก็ไม่ต้องนึกโทษตัวเองอีกต่อไป ”
ซวนไท่หยางถอนหายใจเบาๆ เดิมทีอสูรกระบี่ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมมหาสงครามก็ได้ เนื่องจากกำลังอยู่ในช่วงเวลาสำคัญ เพื่อเก็บตัวตระหนักรู้วิถีกระบี่ขั้นสูงสุด
แต่เป็นเพราะคำขอที่เห็นแก่ตัวของเขาเอง จึงทำให้อีกฝ่ายต้องพลีชีพไปในการต่อสู้กับราชันเทพมารอเวจี
“ ก่อนที่ดวงวิญญาณของเจ้านายจะแตกสลายไป ก็ได้ทิ้งคำพูดเอาไว้ ว่าการเป็นคมกระบี่ที่คอยประหารอริราชศัตรูให้กับท่าน คือช่วงเวลาที่มีความหมายที่สุดในชีวิต ต่อให้ต้องตายไปในวันนี้ เขาก็ไม่เสียใจ ”
เสวี่ยหลงคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ก่อนที่จะนำแผ่นป้ายสีดำซึ่งถูกจารึกคำว่าเงาตะวัน ขึ้นมายกทูนเหนือศีรษะเพื่อส่งมอบคืนให้เจ้าของเดิม
“ ไม่เคยนึกเสียใจงั้นรึ…. ” ซวนไท่หยางรับแผ่นป้ายเงาตะวันคืนมาด้วยแววตาหวนรำลึกถึงความทรงจำในอดีต เพื่อบุญคุณเพียงเล็กน้อย อีกฝ่ายกลับตอบแทนเขาด้วยทุกอย่างที่มี ไม่รู้เป็นใครกันแน่ที่ติดค้างใคร
วูป!
เมื่อซวนไท่หยางส่งสัมผัสวิญญาณเข้าไปตรวจสอบพื้นที่มิติด้านในแผ่นป้าย เขาก็พบกับทรัพย์สมบัติมากมายมหาศาล
ตั้งแต่เคล็ดวิชาฝึกตนระดับสูง อาวุธเครื่องป้องกันชั้นยอด เม็ดโอสถล้ำค่า หรือแม้กระทั่งหินวิญญาณระดับศักดิ์สิทธิ์กองสูงเท่าภูเขา ซึ่งเหนือกว่าที่มีในคลังสมบัติลับของมหาอำนาจในแดนสวรรค์ยุคปัจจุบันมากนัก
“ นี่มัน มากเกินไป ” ซวนไท่หยางพูดออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง เพราะสิ่งที่อีกฝ่ายมอบคืนมาให้เขา มันมีมูลค่าสูงกว่าเดิมนับร้อยเท่าเลยทีเดียว
“ หากไม่ใช่เพราะความเมตตาของท่าน เจ้านายของข้าคงไม่อาจแก้แค้นตระกูลฟ่านและกลายเป็นหนึ่งในสิบจักรพรรดิเทพผู้ยิ่งใหญ่ได้ ของตอบแทนแค่นี้ยังถือว่าน้อยเกินไปด้วยซ้ำ ” เสวี่ยหลงตอบออกมาเสียงดัง
ทั้งสีหน้าและแววตาของเขาดูเด็ดเดี่ยวเป็นอย่างมาก แสดงให้เห็นว่าจะไม่ยอมรับสิ่งที่ได้ให้ไปแล้วกลับคืนมาเด็ดขาด
บางทีสาเหตุที่ ดินแดนมรดกจักรพรรดิเทพอสูกระบี่ไม่ได้มีคลังสมบัติเป็นของตัวเอง ก็คงเป็นเพราะทรัพย์สมบัติเกือบทั้งหมดของเขา ถูกเก็บไว้ในแผ่นป้ายเงาตะวันจนหมดแล้ว
“ เอาเถอะ หากนี่เป็นความต้องการของนายเจ้า ข้าก็จะยอมรับมันไว้ ” แม้ซวนไท่หยางจะพูดไปแบบนั้น แต่เขากลับส่งแผ่นป้ายไปให้จ้าวเทียนแทนที่จะเก็บไว้เอง ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวความลับในอดีตให้ผู้สืบทอดของตนฟัง
แท้จริงแล้ว ในช่วงเวลาที่อสูรกระบี่หลบหนีออกจากตระกูล ก็ได้ไปพบกับซวนไท่หยางที่บิดบังตัวตนออกมาท่องเที่ยวเก็บเกี่ยวประสบการณ์เข้าพอดี
ในเวลานั้นอสูรกระบี่เป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับปราณฟ้า ขณะที่ซวนไท่หยางเป็นถึงเทพโลการะดับสอง
ทว่าแม้ทั้งสองฝ่ายจะมีความแตกต่างกันทั้งศักดิ์ฐานะและขอบเขตพลัง แต่ด้วยนิสัยใจคอที่คล้ายคลึงกันจึงกลายเป็นสหายสนิท ที่สามารถบอกเล่าเรื่องราวและแบ่งปันความลับต่างๆได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจ
เมื่อเวลาผ่านไปอีกหลายร้อยปี ในตอนที่อสูรกระบี่เริ่มมีชื่อเสียง เขาก็ถูกตามล่าโดยตระกูลฟ่านซึ่งเป็นหนึ่งในสามตระกูลใหญ่แห่งยุค จนซวนไท่หยางต้องยอมฝ่าฝืนกฎตระกูลนำกองกำลังส่วนตัวมาช่วยเหลือ
ตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นต้นมา ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป อสูรกระบี่ได้ทิ้งชื่อแซ่ตนเอง ยอมกลายเป็นเงาของซวนไท่หยางด้วยความเต็มใจ
มันก็เหมือนกับเหรียญที่มีสองด้าน ในเมื่อตัวตนของจักรพรรดิเทพหมื่นตะวันทุกรุ่น คือตัวแทนของแสงสว่างแห่งความหวังอันโชติช่วง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน