ณ ยอดเขาสูงเสียดฟ้าสถานที่เก็บตัวของเทพกระบี่ ประตูมิติขนาดใหญ่ได้ปรากฏขึ้นตรงลานกว้างหน้าบ้านไม้รูปทรงโบราณ ก่อนที่พวกจ้าวเทียนจะทยอยกันเดินออกมาทีละคน
“ อืม ผ่านไปเดือนหนึ่งแล้วรึ ถึงแม้ดินแดนมรดกจะเต็มไปด้วยปราณฟ้าดินคุณภาพสูง แต่สำหรับข้าบรรยากาศและกลิ่นอายบนโลกมนุษย์ดูน่ารื่นรมย์กว่ามากนัก ” อั้งฮวงหลงพูดขึ้นด้วยท่าทีผ่อนคลาย ซึ่งก็ได้รับเสียงสนับสนุนจากบรรดาผู้อาวุโสอีกหลายคนเป็นอย่างดี
แตกต่างกับพวกโม่ปิงหยานที่ไม่ค่อยเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกนี้เท่าไหร่ เนื่องจากพวกเธอยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว ทั้งมีความทรงจำอันเลวร้ายตั้งแต่เกิด ก็เลยไม่ค่อยรู้สึกผูกพันกับโลกมนุษย์ เหมือนเหล่าผู้อาวุโสที่มีชีวิตยืนยาวมาหลายร้อยปี
คำว่าบ้านสำหรับพวกโม่ซินหยาน อาจจะให้ความสำคัญไปที่บุคคลมากกว่าสถานที่ ตราบใดที่จ้าวเทียนไม่ทอดทิ้งพวกเธอ ไม่ว่าเขาจะขึ้นไปแดนสวรรค์หรือลงสู่นรกภูมิ ที่แห่งนั้นก็จะเปรียบเสมือนบ้านใหม่ของพวกเธอเช่นกัน
“ ข้าได้ติดตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติเอาไว้ภายในบ้านแล้ว เมื่อไหร่ที่คนของเจ้าพร้อม ก็ส่งพวกเขาไปฝึกฝนกับข้าในดินแดนมรดกได้เลย ด้วยหินวิญญาณระดับศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากมายที่มีอยู่ คงจะสามารถเปิดใช้เขตอาคมบิดเบือนมิติเวลาได้อีกหลายปี ”
เมื่อเสวี่ยหลงพูดกับเทพกระบี่จบ เขาก็หันไปโค้งคำนับให้จ้าวเทียน ก่อนจะหายตัวกลับเข้าประตูมิติไป
“ บางทีข้าก็นึกสงสัย ว่าใครกันแน่ที่เป็นผู้สืบทอดของจักรพรรดิอสูรกระบี่ ” เทพกระบี่พูดขึ้นอย่างขบขัน
ท่าทีของเสวี่ยหลงที่ใช้ปฏิบัติต่อจ้าวเทียนดูพิเศษกว่าคนอื่นอย่างชัดเจน ทั้งๆที่ตัวเขาเป็นผู้สืบทอดอสูรกระบี่แท้ๆ อีกฝ่ายกลับไม่เคยให้ความเคารพนอบน้อมแม้แต่น้อย
“ หึหึ คุณอย่าน้อยใจไปเลย ที่ผู้อาวุโสเสวี่ยหลงให้ความเคารพจริงๆก็คือตราสัญลักษณ์ดวงอาทิตย์และผู้ที่อยู่เบื้องหลังฉันต่างหาก ” จ้าวเทียนสื่อความหมายถึงเจตจำนงจักรพรรดิเทพหมื่นตะวัน ทั้งเก้ารุ่นที่อยู่ในคลังสมบัติลับ
“ เอาเถอะ! เรื่องนี้ข้าทำใจตั้งแต่ยอมรับตำแหน่งเป็นเงาตะวันให้กับเจ้าแล้ว ” เทพกระบี่ฝืนยิ้มออกมา
หลังจากเข้าไปกล่าวคำอำลาผู้อาวุโสสมาพันธ์เซียนคนอื่นๆเรียบร้อย เขาก็ขอแยกตัวออกไป เพื่อคัดเลือกอัจฉริยะรุ่นเยาว์ในสำนักหัวซานไปฝึกฝนต่อในดินแดนมรดก
เทพกระบี่ได้ปรึกษากับจ้าวเทียนและเสวี่ยหลงแล้ว ว่าต้องการสร้างหน่วยลับเงาตะวันขึ้นมาใหม่ โดยใช้ทรัพยากรทั้งหมดที่จักรพรรดิอสูรกระบี่เหลือทิ้งไว้
ซึ่งยอดฝีมือเหล่านี้จะขึ้นตรงต่อเทพกระบี่เพียงผู้เดียว รับหน้าที่เป็นกระบี่อันแหลมคมคอยขจัดอุปสรรคกวาดล้างศัตรูให้กับจ้าวเทียน
เนื่องจากการเปิดใช้เขตอาคมบิดเบือนมิติเวลานั้นสิ้นเปลืองหินวิญญาณมาก จึงจำกัดจำนวนไว้เพียงหนึ่งร้อยคนเท่านั้น พวกเขายังเหลือเวลาอีกสองเดือนก่อนจะถึงศึกชี้ชะตาแย่งชิงตำแหน่งมหาเทพ
เวลาสองเดือนในโลกภายนอก จะเท่ากับเวลาเกือบสี่ปีภายในเขตอาคมบิดเบือนมิติเวลา ของดินแดนมรดกจักรพรรดิอสูรกระบี่
นี่ยังไม่นับรวมคุณสมบัติพิเศษของแผ่นหินโกลาหล ด่านทดสอบระดับสูงของเสวี่ยหลง และพลังปราณฟ้าดินที่มีความบริสุทธิ์สูงกว่าโลกมนุษย์นับร้อยเท่า
เมื่อไหร่ที่มือกระบี่รุ่นเยาว์ทั้งร้อยคนนี้ปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง จะต้องสร้างความตื่นตะลึงไปทั่วทั้งสามภพภูมิอย่างแน่นอน
“ พวกเราเอง ก็กลับกันเถอะ ” จ้าวเทียนพาพวกโม่ปิงหยูบินขึ้นบนฟ้า แยกทางกับเหล่าผู้อาวุโสที่ต้องกลับไปดูแลสำนักตนเอง
เนื่องจากเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา พวกเขาได้ขาดการติดต่อกับโลกมนุษย์อย่างสิ้นเชิง ไม่รู้ว่าสถานการณ์ต่างๆเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง
‘ หืม….มีคนโทรหาฉันเยอะขนาดนี้เลยเหรอ ’
จ้าวเทียนมองโทรศัพท์ดาวเทียมของตัวเองด้วยความแปลกใจ มันมีเกือบสองร้อยสายที่ไม่ได้รับในช่วงเวลาสามวันที่ผ่านมา โดยเฉพาะจากหวังซินหยางและเจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลคนอื่นๆ
แต่ยังไม่ทันที่จ้าวเทียนจะโทรกลับไป โม่ปิงหยู่ก็ร้องเรียกออกมาเสียงดัง
“ อาจารย์ค่ะ!! ที่ตรงนั้นมีการต่อสู้ ”
!!
จากความสูงหลายพันเมตร จ้าวเทียนมองเห็นกลุ่มคนชุดดำจำนวนหลายร้อยคนที่มีอาวุธครบมือ บุกเข้าไปสังหารเหล่าแม่ชีในอารามแห่งหนึ่งกลางวันแสกๆ
นี่คือ…สำนักหานซาน ซึ่งเคยเป็นถึงหนึ่งในห้าขุนเขากระบี่อันโด่งดังแห่งยุทธภพ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน