จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน นิยาย บท 568

การทลายนภาของพวกลี่เหยาเหยานั้นราบรื่นเป็นอย่างมาก นอกจากภัยพิบัติทัณฑ์สายฟ้าแล้ว พวกเขาก็ไม่พบการแทรกแซงใดๆจากเต๋าสวรรค์แม้แต่น้อย ซึ่งนี่ก็อยู่ในการอนุมานของหลินซูซินตั้งแต่แรกจ้าวเทียนเลยไม่รู้สึกแปลกใจนัก

โดยหากจะมีสิ่งที่เหนือความคาดหมายจริงๆ ก็คงเป็นเรื่องที่เด็กสาวอายุสิบสองปีอย่างหลินซิงเสวียน เข้าร่วมการทลายนภาในครั้งนี้ด้วยมากกว่า อีกทั้งประตูเซียนของเธอยังมีขนาดใหญ่เทียบเท่าของเทพกระบี่เลยทีเดียว

‘ คงเป็นไปตามที่อาจารย์ปู่กล่าวไว้ หลินซิงเสวียนคือดวงวิญญาณของผู้แข็งแกร่งยุคบรรพกาลกลับชาติมาเกิดใหม่ แต่เพราะหลงทางอยู่ในวัฏสงสารนานมากจนเกินไป จึงสูญเสียความทรงจำชาติก่อนจนหมดสิ้น ’

จ้าวเทียนคิดว่าเรื่องนี้ไม่ได้ส่งผลเสียต่อฝ่ายตน จึงปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติไม่คิดแทรกแซงแต่อย่างใด ทั้งยังแอบหวังให้เด็กสาวฟื้นคืนพลังกลับมาได้เสียด้วยซ้ำ เพราะนั่นจะทำให้ศิษย์พี่หญิงของเขาซึ่งผูกพันธสัญญากับเธอแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม

“ นายกังวลเรื่องพลังที่แท้จริงของน้องซิงเสวียนอยู่เหรอ ” ลี่เหยาเหยาปรากฏตรงหน้าจ้าวเทียนอย่างเงียบเชียบ ความเคลื่อนไหวของเธอแฝงเร้นไปด้วยกฎเกณฑ์แห่งมิติเวลาชั้นสูง ทำให้ไม่อาจจับสัมผัสล่วงหน้าได้

อาจเป็นเพราะได้รับการสืบทอดสายเลือดของสัตว์เทวะต้นกำเนิดและบรรพชนเทพเจ้ามังกร จึงเป็นสาเหตุให้ประตูเซียนของลี่เหยาเหยาและเฉินจิ้งพิเศษกว่าใคร

เพราะนอกจากประตูเซียนของทั้งสองจะมีขนาดใหญ่โตเกือบสองหมื่นเมตรแล้ว มันยังปลดปล่อยออร่าความกดดันมหาศาล และเปลวเพลิงอันร้อนแรงออกมาตลอดเวลา ทำให้เพิ่มความยากในการทำลายมากกว่าคนอื่นยิ่งขึ้นไปอีก

ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จากการทำลายประตูเซียนทั้งสอง ก็เหนือกว่าประตูเซียนแบบปกติอย่างเทียบไม่ติดเช่นเดียวกัน เห็นได้จากที่ลี่เหยาเหยาและเฉินจิ้งกลายเป็นเซียนนภาระดับสูงสุดทันที ทั้งยังได้รับการตื่นรู้ของสายโลหิตบรรพชนอีกด้วย

“ หืม เธอรู้ความคิดของฉันได้ยังไง ” จ้าวเทียนถามกลับไปด้วยความสงสัย ไม่ได้มีเจตนาที่จะปิดบังแต่อย่างใด

“ หึหึ ก็ตอนที่ทุกคนกำลังทำลายประตูเซียน สายตาของนายจับจ้องอยู่ที่เธอสองลมหายใจ ทั้งยังกวาดมองซ้ำอีกสองสามรอบ ซึ่งมันก็มากกว่าคนอื่นๆเกือบเท่าตัวไงล่ะ ” ลี่เหยาเหยาพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม เธอไม่ได้รู้สึกโกรธแต่จงใจแกล้งจ้าวเทียนเสียมากกว่า

“ ในเวลาสำคัญแบบนั้นก็ยัง…เธอนี่มันน่าตีจริงๆ ” จ้าวเทียนใช้นิ้วบีบจมูกอีกฝ่ายด้วยความมันเขี้ยว ทั้งสองได้หยอกล้อกันไปมาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตน

หนึ่งชั่วโมงต่อมา

ภายในสนามกีฬาขนาดใหญ่ที่ใช้จัดพิธีการสำคัญของกองทัพ จ้าวเทียนนั่งสมาธิอยู่บนฟ้าเพื่อเทศนาเต๋ากระบี่ให้กับผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนมากมายได้รับฟัง

โดยกลุ่มที่อยู่ด้านหน้าสุด จะเป็นตัวแทนจากสำนักบู้ตึ๊ง ง้อไบ๊ ช้วนจินก่าและห้าขุนเขากระบี่ รวมแล้วเกือบสี่พันคน ส่วนที่เหลืออีกประมาณสองหมื่นคนก็เป็นตัวแทนจากสำนักอื่นๆนั่งลดหลั่นกันไปตามระดับพลังฝีมือ

“ การจะบรรลุวิถีกระบี่ขั้นสูงสุด จะต้องรู้แจ้งนัยสำคัญแห่งฟ้า ดิน มนุษย์ เพื่อสร้างรากฐานอันมั่นคง….”

จ้าวเทียนเริ่มบรรยายถึงความรู้ความเข้าใจ ในการฝึกฝนกระบี่ตั้งแต่แรกเริ่มจนไปถึงระดับสูงสุด เสียงของเขาเต็มไปด้วยมนตร์ขลัง สามารถชักนำให้ทุกคนเข้าสู่สภาวะตระหนักรู้ได้ทันที

นี่คือข้อได้เปรียบของบรรพชนเต๋า ซึ่งสามารถปลูกฝังเต๋าของตนเองให้กับผู้ฟังได้อย่างสมบูรณ์ โดยจะได้รับไปมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับอัจฉริยภาพของแต่ละบุคคล เช่นเดียวกับเรื่องบัวสี่เหล่าของศาสนาพุทธ เรื่องนี้ไม่อาจฝืนใจบังคับได้

สามชั่วโมงผ่านไป ก็เริ่มมีผู้ฝึกตนนับพันทลายขอบเขตจากเซียนระดับต่ำไปเป็นเซียนระดับกลางโดยไม่รู้ตัว ทั้งยังมีเซียนระดับสูงเกือบร้อยคนตระหนักรู้สภาวะคนกระบี่ผสานเป็นหนึ่งอีกด้วย

“ นี่มัน…เหลือเชื่อจริงๆ ” เทพกระบี่ลืมตาขึ้นด้วยความตกใจ เดิมทีเขานึกว่าตนเองคงไม่ได้ประโยชน์จากการเทศนาเต๋าในครั้งนี้นัก เนื่องจากได้บรรลุแก่นแท้กระบี่ระดับสูงและสืบทอดเคล็ดวิชาจากจักรพรรดิอสูรกระบี่มาจนหมดแล้ว

แต่ทว่า ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นมันกลับเหนือกว่าที่ประเมินเอาไว้มาก การเทศนาเต๋าของจ้าวเทียนได้ปรับปรุงแก้ไขวิถีกระบี่ของเขาตั้งแต่รากฐาน

ทุกปัญหาที่เคยค้างคาใจก็ได้คำตอบในพริบตา ส่งผลให้เคล็ดวิชากระบี่ทั้งหมดที่ได้ฝึกฝนมา แข็งแกร่งมากกว่าเดิมอย่างชัดเจน

‘ ในที่สุดข้าก็ได้รู้ ว่าเพราะเหตุใดจ้าวเทียนถึงไม่ยอมฝึกฝนเต๋ากระบี่ทลายไร้สิ้นสุดของจักรพรรดิอสูรกระบี่ ’

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน