หากให้เปรียบเทียบความแข็งแกร่ง ระหว่างผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนนภากับขอบเขตแดนเทพซึ่งอยู่ในระดับเดียวกัน
ต้องบอกเลย ว่าฝ่ายแรกมีความสามารถด้านต่างๆเหนือกว่าฝ่ายหลังอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะเรื่องการสร้างโลกภายในของตนเอง และความแข็งแกร่งทางกายภาพที่เพิ่มสูงขึ้นหลายเท่าจากการดูดกลืนพลังประตูเซียน
แต่ทว่า
เมื่อเหล่าเซียนนภาต้องมาเผชิญหน้ากับกองทัพวัลคีรีของมหาเทวีเฟรย่า ข้อได้เปรียบทุกอย่างก็แทบจะหายไปทันที เพราะกองทัพวัลคีรีเกือบครึ่งคือเทพโลกาที่ผนึกขั้นพลังตัวเองลงมาโลกมนุษย์
เอาแค่เรื่อง ให้ผู้ที่เพิ่งบรรลุขอบเขตเซียนนภามาได้แค่เพียงสามวัน ต้องมาสู้กับสุดยอดนักรบที่ทำสงครามฝึกฝนตัวเองนานนับหมื่นปี ก็นับว่าเป็นเรื่องที่เสียเปรียบมากแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจำนวนของทั้งสองฝ่ายที่แตกต่างกันหลายเท่าเลย
สงครามครั้งนี้ มีเซียนนภาเข้าร่วมแปดพันคน เซียนขั้นสูงสุดสองหมื่นคน ซึ่งเมื่อรวมกับกองทัพหุ่นเชิดสี่หมื่นตน กับนักบวชแห่งแสงหนึ่งพันคน ก็เท่ากับว่ามีจำนวนแค่หกหมื่นเก้าพันคนเท่านั้น
ซึ่งมันก็ถือว่าน้อยมาก…ถ้าเปรียบเทียบกับกองทัพวัลคีรีห้าแสนนางของมหาเทวีเฟรย่า
โดยจะมีเหตุผลอยู่สองข้อใหญ่ๆ ที่ทำให้ฝ่ายสมาพันธ์เซียนสามารถต่อสู้กับศัตรูที่เหนือกว่ามาได้นานถึงขนาดนี้
ข้อแรก คือการอวยพรศักดิ์สิทธิ์เพื่อเพิ่มพูนความแข็งแกร่ง และการฟื้นฟูรักษาอาการบาดเจ็บของพวกนักบวชแห่งแสงกับโม่ปิงหยู
ส่วนข้อที่สอง ซึ่งเป็นข้อที่สำคัญที่สุดก็คือ ความแข็งแกร่งราวสัตว์ประหลาดของพวกลี่เหยาเหยา และเหล่าผู้อาวุโสทั้งยี่สิบห้าคนที่ได้รับสืบทอดมรดกจากซากศพผู้ยิ่งใหญ่ยุคบรรพกาล ในดินแดนมรดกจักรพรรดิอสูรกระบี่
“ อามิตาพุทธ เดี๋ยวอาตมาจะเปิดทางให้เอง ประสกเฉินจิ้งและคนอื่นๆที่ล่วงหน้าไปก่อนเริ่มรับมือศัตรูไม่ไหวแล้ว พวกท่านต้องรีบไปช่วยเหลือให้เร็วที่สุด ” พูดจบ หลวงจีนคิ้วขาวพุ่งทะยานออกไปเบื้องหน้า ประกบฝ่ามือเป็นเก้าสัญลักษณ์อย่างรวดเร็ว
“ บัวเพลิงพุทธะพิโรธ! ”
บูมมมม!
คลื่นเปลวเพลิงสีแดงระเบิดออกไปเป็นวงกว้าง ปรากฏเป็นดอกบัวยักษ์อันร้อนแรงกักขังนักรบวัลคีรีหลายพันนางไว้ด้านใน
จากนั้น หลวงจีนคิ้วขาวก็ฝืนใช้เคล็ดวิชาเดิมซ้ำอีกแปดครั้ง จนมองเห็นดอกบัวเพลิงทั้งเก้าเรียงซ้อนต่อกันเป็นเส้นตรง กลายเป็นสะพานเส้นหนึ่งเชื่อมต่อไปยังแนวหลังศัตรู
“ รีบไปเร็วเข้า เขตแดนวีรชนของอีกฝ่ายแข็งแกร่งมาก อาตมาคงยับยั้งไว้ได้แค่สิบลมหายใจเท่านั้น”
หลวงจีนคิ้วขาวตะโกนออกมาด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ ร่างกายของท่านสั่นสะท้านอย่างแรง จนแทบประคองตัวลอยอยู่บนฟ้าไว้ไม่ไหว
ทั้งยังเริ่มปรากฏเลือดไหลซึมออกมาจากจมูกและริมฝีปาก แสดงให้เห็นว่าตัวท่านต้องรับภาระหนักเพียงใด ในการใช้เคล็ดวิชานี้ถึงเก้าครั้ง
ฟุ่บ!
อั้งฮวงหลงรีบพาผู้อาวุโสอีกห้าคน พุ่งทะยานผ่านหลวงจีนคิ้วขาวไปทันที ส่วนผู้อาวุโสอีกสิบแปดคนที่เหลือ กำลังรับมือสิบสามวัลคีรีชั้นสูงและช่วยสนับสนุนแนวรับด้านอื่นๆอยู่
“ หยุดพวกมันไว้ อย่าปล่อยให้ฝ่าเข้าไปได้ ”
“ รีบช่วยเหลือพี่น้องของพวกเรา เร็ว! ”
กองกำลังย่อยนักรบวัลคีรีหนึ่งหมื่นนาง รีบตรงเข้ามาขัดขวางพวกอั้งฮวงหลง โดยมีอีกประมาณสองพันแยกตัวไปช่วยเหลือพวกพ้อง ที่ถูกผนึกไว้ในดอกบัวเพลิงทั้งเก้าดอก
“ ไสหัวไปซะ ”
อั้งฮวงหลงตะโกนออกมาด้วยความเดือดดาล ปรากฏมังกรโลหิตเจ็ดตัวพุ่งทะลวงความว่างเปล่า พวกมันขู่คำรามก้องฟ้าก่อนจะกลายเป็นพายุหมุนแห่งการทำลายล้าง ม้วนกวาดออกไปฉีกกระชากนักรบวัลคีรีเกือบพันนางเป็นชิ้นๆ
“ สามดาบทลายพิภพ! ”“ หมื่นดรรชนีทะลวงฟ้าดิน! ”
เจ้าสำนักคงท้งกับเจ้าสำนักบู้ตึ๊งก็ได้โจมตีออกไปพร้อมกัน ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเคล็ดวิชาสืบทอดจากผู้ยิ่งใหญ่ยุคบรรพกาลทั้งสิ้น ทำให้กองทัพวัลคีรีที่กำลังเข้ามาเสริม ถูกซัดกระเด็นไปไกลได้รับบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก
พรวด!
ผู้อาวุโสทั้งสามกระอักเลือดออกมาคำโต สีหน้าของพวกเขาดูอ่อนแรงลงไปอย่างชัดเจน นี่คือผลกระทบจากการใช้พลังเกินตัวจนต้องเผาผลาญอายุขัยตนเอง
ฟุ่บ!
เงาร่างของหกผู้อาวุโสจางหายไปกลางอากาศ พวกเขาได้ฉวยโอกาสที่ศัตรูกำลังหวาดกลัว บุกทะลวงฝ่าวงล้อมออกไปเรียบร้อยแล้ว
“ ข้ามาไม่ทันงั้นรึ ช่างเถอะ สังหารพวกเจ้าให้หมดก็มีค่าเท่ากัน ” บรุนฮิลด์หัวหน้ากลุ่มสิบสามวัลคีรีพูดขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา พร้อมกับโยนซากศพไร้ศีรษะของเจ้าสำนักง้อไบ๊ลงต่อหน้าหลวงจีนคิ้วขาว
“ นี่มัน ! ” หลวงจีนคิ้วขาวเลิกคิ้วขึ้น ยิ่งเมื่อเห็นนักรบวัลคีรีนับหมื่นที่ติดตามฝ่ายตรงข้ามมาเต็มไปด้วยคราบโลหิตของเหล่าเซียนหญิงสำนักง้อไบ๊ ในใจท่านก็เต็มไปด้วยโกรธแค้นอย่างรุนแรง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน