สรุปตอน ภาคสามบทที่่232 ร่วมมือกับบรรพชนมาร – จากเรื่อง จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน โดย ZigFheZ
ตอน ภาคสามบทที่่232 ร่วมมือกับบรรพชนมาร ของนิยายแฟนตาซีเรื่องดัง จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน โดยนักเขียน ZigFheZ เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
ย้อนกลับไปไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ บริเวณบึงลึกดำทะมึนแห่งหนึ่งกลางห้วงมิติโกลาหล ซึ่งกินอาณาเขตกว้างใหญ่เท่ากับกาแล็กซี่ทางช้างเผือก ความลึกของมันดูไร้ขีดจำกัด ราวกับเชื่อมต่อไปยังขุมนรกอเวจีบรรพกาลก็ไม่ปาน
นี่คือสถานที่หวงห้ามแห่งห้วงมิติโกลาหล นอกจากจะมีพลังดูดกลืนรุนแรงยิ่งกว่าหลุมดำนับพันเท่าแล้ว ยังเป็นที่อยู่อาศัยของอสูรร้ายดึกดำบรรพ์อันน่าสะพรึงกลัว ที่แม้แต่ตัวตนระดับผู้ปกครองเอกภพยังไม่กล้าต่อกรอีกด้วย
ทันใดนั้น
ก๊าซซซซ!
ห่างออกไปไม่ไกล ได้มีพญามังกรดำสามเศียรบินหลุดออกจากพายุมิติโกลาหลด้วยท่าทีอ่อนแรง ถึงแม้ร่างกายของมันจะเต็มไปด้วยบาดแผลฉีกขาดยับเยิน แต่กลิ่นอายยังคงกล้าแข็งกว่าขอบเขตจักรพรรดิหลายสิบเท่า
น่าเสียดายที่ เมื่อพญามังกรตัวนี้ล้วงล้ำเข้ามาในอาณาเขตบึงมรณะ ร่างกายของมันก็ถูกดึงดูดให้จมลึกลงไปและถูกบีบอัดให้มีขนาดลดลงอย่างต่อเนื่อง
“ ก๊าซซ แย่แล้ว พลังดูดกลืนแข่งแกร่งยิ่งนัก ข้าไม่อาจต้านทานได้เลย ” พญามังกรสามเศียรกรีดร้องโหยหวน ไม่ว่าจะพยายามดิ้นรนอย่างไร ก็ไม่อาจหลุดพ้นจากพลังดูดกลืนของบึงมรณะได้
สุดท้ายมันจึงตัดสิ้นยอมเสี่ยง ทำลายสมบัติระดับพระเจ้าสามชิ้นเพื่อหวังอาศัยคลื่นพลังทำลายล้างผลักดันตัวเองออกมา
ตูมมม!
เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว ราวกับเป็นการทำลายตัวเองของดวงอาทิตย์หนึ่งพันดวง ทำให้บึ่งมรณะถูกเปลวเพลิงอันร้อนแรงกลืนกินไปกว่าครึ่ง
“ หืม บึงน้ำนี่ประกอบขึ้นจากการบีบอัดห้วงมิติเวลาอันกว้างใหญ่ น้ำแต่ละหยดมหึมายิ่งกว่าโลกใบใหญ่หนึ่งดวง จนแม้แต่ฤทธานุภาพของอาวุธระดับพระเจ้าก็ยังทำลายมันไม่ได้เลยงั้นเหรอ ” พญามังกรดำสามเศียรมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยสีหน้าหวาดกลัว
แต่ทว่า พริบตาที่ตัวมันเสียสมาธิหันมองไปทางอื่น มัจฉาสีดำตัวเล็กขนาดเท่าฝ่ามือก็โดดลอยโผล่พ้นบึงน้ำมาจากทางด้านหลัง
ก่อนจะขยายร่างจนใหญ่โตมโหฬาร แล้วอ้าปากที่ชุมโชกโลหิตปรากฏวังวนมืดดำไร้สิ้นสุด ฮุบกลืนพญามังกรดำสามเศียรเข้าไปในคำเดียว
“ ก๊าซซซซ ไม่… ” เสียงคำรามโกรธแค้นอย่างไม่ยอมจำนนของพญามังกรดำยังคงดังสะท้านสะเทือนไปทั่ว
กร๊วบ!ๆ
หลังหุบปากแล้ว สัตว์ประหลาดตัวนี้ก็กลับคืนสู่ร่างมัจฉาน้อยตามเดิม มันกวาดสายตามองไปรอบๆอย่างเย็นชา ก่อนจะมุดดำหายลงไปในบึงมรณะราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ โอกาสนี้แหละ รีบหนีออกไปเร็วเข้า!! ”
ไวเท่าความคิด ได้ปรากฏลูกเกาทัณฑ์สีทองพุ่งขึ้นมาบนผิวน้ำอย่างรวดเร็ว มันหมุนวนเป็นเกลียวคลื่นเจาะทะลวงห้วงมิติหายไปในพริบตา
จนกระทั่งเมื่ออยู่ห่างออกจากบึงมรณะหลายล้านกิโลเมตร ลูกเกาทัณฑ์ดอกนั้นก็ค่อยเปลี่ยนกลับคืนสภาพกลายเป็นบุรุษชุดดำผู้หนึ่ง
“ ไม่นึกเลย ว่าพลาดท่าเพียงครั้งเดียว ข้าจะหลงติดอยู่ในบึงบัดซบนั่นเป็นเวลานานถึงหนึ่งร้อยปี ไม่รู้ป่านนี้บุตรสาวข้าจะเป็นอย่างไรบ้าง ” โฮ่วอี้ถอนหายใจด้วยความเหนื่อยล้า
“ ไม่ต้องกังวล เท่าที่ข้าลองอนุมานดู เวลาภายนอกนี่เพิ่งจะผ่านมาได้ปีกว่าเท่านั้น ”
เสียงอันแหบพร่าดังขึ้น พร้อมกับเงาที่อยู่ด้านโฮ่วอี้ได้ยืดขยายออกไปกลายเป็นมารอสูรร่างยักษ์ มีสามหัวหกแขน ทั่วร่างกายปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิงสีดำดูน่าสะพรึงกลัว
นี่คือร่างจริงของบรรพชนมารอนันกาล ศัตรูคู่ปรับตนสำคัญที่เคยส่งร่างอวตารมาบุกรุกหลุมอเวจีชั้นสิบแปด และเป็นผู้นำกองทัพมารมาปิดล้อมโฮ่วอี้กับจักรพรรดินีปิงเยว่ในอดีต
เพราะต้องการปกป้องสหาย โฮ่วอี้จึงชักนำศัตรูทั้งหมดหลบหนีไปอีกเส้นทางตรงข้าม สุดท้ายแม้จะสลัดหลุดจากห้าราชันมารและกองทัพมารหลายสิบล้านไปได้
แต่ทั้งตัวเขาและบรรพชนมารอนันตกาลก็หลงเข้าไปยังอาณาเขตบึงมรณะ จนเกิดการต่อสู้กับฝูงสัตว์ประหลาดที่อาศัยอยู่ในบึงในที่สุด
จะบอกว่าไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวรก็คงไม่ผิดนัก เมื่อต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์แห่งความเป็นความตาย
ทั้งสองฝ่ายจึงต้องยอมปล่อยวางความแค้นแล้วร่วมมือกันแต่โดยดี เพราะหากยังมัวต่อสู้กันเอง ก็คงตกเป็นอาหารของสัตว์ประหลาดพวกนั้นแน่นอน
“ ดูเหมือน วันนี้จะครบกำหนดนัดหมายของปิงเยว่พอดี ” โฮ่วอี้พยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะหันไปจ้องมองบรรพชนมารอนันตกาลแล้วพูดขึ้นต่อ
“ เจ้ายังไม่ลืมคำสัญญาของตัวเองใช่ไหม… ”
“ ไม่ต้องห่วง เผ่ามารของข้ายึดมั่นในพันธสัญญาเป็นที่สุด เรื่องที่รับปากเจ้าไว้รับรองไม่ผิดคำพูดแน่นอน ” บรรพชนมารอนันตกาลพูดขึ้นอย่างจริงจัง
ในอดีตเคยมีครั้งหนึ่ง ที่ตัวมันถูกฝูงสัตว์ประหลาดแห่งบึงมรณะรุมจู่โจม เพราะเผลอปลดปล่อยกลิ่นอายวิญญาณตอนพบสมบัติล้ำค่าใจกลางบึงมรณะ หากไม่ได้โฮ่วอี้ยอมเสี่ยงชีวิตเข้าช่วยเหลือ ก็คงถูกฉีกทึ้งดวงวิญญาณออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปแล้ว
ถึงแม้บรรพชนมารอนันตกาลจะมีชีวิตเป็นนิรันดร์ไม่มีวันตาย แต่การที่ต้องไปฟื้นคืนชีพในท้องสัตว์ประหลาดพวกนั้น และถูกสังหารซ้ำไปซ้ำมาไม่จบไม่สิ้น ก็ถือเป็นชะตากรรมที่เลวร้ายยิ่งกว่าความตายเสียอีก
“ ดีมาก งั้นพวกเรารีบกลับไปยังจักรวาลของข้ากันเถอะ ” โฮ่วอี้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
อันที่จริงตัวโฮ่วอี้ไม่ค่อยกังวลเรื่องพันธสัญญาเท่าไหร่นัก เนื่องจากบรรพชนมารอนันตกาลจำเป็นต้องอาศัยร่างกายเขาเป็นพาหนะ
จนกว่าจะฟื้นฟูอาการบาดเจ็บกลับมาได้เหมือนเดิม ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ชะตากรรมรวมไปถึงชีวิตของอีกฝ่ายจะตกอยู่ในเงื้อมมือเขานั่นเอง
สองชั่วโมงผ่านไป
โฮ่วอี้ก็ทะลวงมิติมาถึงประตูเอกภพตามที่ได้ตกลงกับจักรพรรดินีปิงเยว่ไว้ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ฉีกเปิดช่องว่างเข้าไป ก็สัมผัสได้ถึงรังสีคุกคามของผู้แข็งแกร่งจำนวนมาก กำลังมุ่งตรงมาทางนี้อย่างรวดเร็ว
“ ดูเหมือนศัตรูของบุตรสาวเจ้าใกล้จะมาถึงแล้ว จะทำเช่นไรล่ะ คอยป้องกันอยู่ตรงนี้หรือกลับไปรวมตัวกับพวกพ้องก่อน ” บรรพชนมารถามออกมาอย่างเคร่งเครียด เพราะรู้ดีว่าฝ่ายตรงข้ามคือราชธิดาของราชันสวรรค์เก้าภพศัตรูเก่า
“ หนึ่งผู้ปกครอง กับยี่สิบเอ็ดจักรพรรดิเทพงั้นรึ ด้วยกองกำลังขนาดนี้คงไม่ได้ตั้งใจมาจับตัวบุตรสาวข้าเพียงอย่างเดียวสินะ ” โฮ่วอี้หันไปมองทิศทางหนึ่งด้วยสายตาเย็นชา
จากที่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับบรรพชนมารเกือบร้อยปี ทำให้โฮ่วอี้ได้รับข้อมูลมากมายเกี่ยวกับมหาอำนาจต่างๆในห้วงมิติโกลาหล โดยเฉพาะกับราชวงศ์ฉินอันยิ่งใหญ่ที่ปกครองจักรวาลระดับสูง
หากเปรียบเทียบระดับการฝึกตนออกเป็นสามขั้นใหญ่ๆ ตั้งแต่นักสู้ไปจนถึงปราณทิพย์จะถูกเรียกว่าอาณาจักรดาวเคราะห์ เพราะสามารถดูดกลืนพลังปราณบนโลกเพื่อทะลวงขอบเขตได้
ตั้งแต่ระดับแดนเทพ ไปจนถึงจักรพรรดิเทพจะถูกเรียกว่าอาณาจักรทะเลดารา เพราะต้องอาศัยพลังงานสวรรค์และพลังงานโกลาหลเพื่อยกระดับตนเอง
ส่วนตั้งแต่ขอบเขตผู้ปกครองขึ้นไปนั้นจะถูกเรียกว่าอาณาจักรเอกภพ ซึ่งเมื่อผู้ฝึกตนสามารถบรรลุมาถึงขอบเขตนี้ได้แล้ว
ทางเดียวที่จะบุกทะลวงไปยังขอบเขตต่อไปได้ ก็คือการแย่งชิงพลังต้นกำเนิดจากจักรวาลแห่งอื่นเท่านั้น
“ เขตแดนสังหาร หมื่นเกาทัณฑ์ทะลวงใจ! ”
สวบ!
เสียงเกาทัณฑ์ดังออกมาเพียงครั้งเดียว ก็เกิดเป็นคลื่นหนามอันแหลมคมจำนวนนับไม่ถ้วน ซัดโถมเข้าใส่เทวรูปมารอสูรทั้งหมด
แม้ชื่อของเคล็ดวิชาจะเป็นหมื่นเกาทัณฑ์ แต่หนามแหลมสีดำดุจคมเขี้ยวมัจจุราช ที่พุ่งออกไปสังหารศัตรู กลับมีจำนวนเป็นอนันต์ ดุจเม็ดฝนที่สาดเทลงมาจากบนท้องฟ้า
ฉัวะ!ๆๆๆๆๆ
ภายใต้อานุภาพเกาทัณฑ์อันน่าสะพรึงกลัวของโฮ่วอี้ การตอบโต้ใดๆล้วนไร้ผล มองเห็นเทวรูปมารอสูรสามพันตนเริ่มแตกกระจายเป็นชิ้นๆ ก่อนจะถูกเผาไหม้กลายเป็นขี้เถ้าไม่เหลือซาก
“ การใช้ภาพมายาบิดเบือนความเป็นจริงของพวกเจ้า ยังอ่อนด้อยกว่าสหายของข้านัก ”
โฮ่วอี้พูดขึ้นอย่างดูถูก แม้ว่ากลิ่นอายของเทวรูปมารอสูรทั้งสามพันจะอยู่ในขอบเขตจักรพรรดิ แต่มันก็เป็นเพียงสิ่งจอมปลอมเท่านั้น
กายเนื้อของพวกมันจริงๆแล้วเปราะบางเหมือนกระดาษ ย่อมไม่อาจต้านทานการโจมตีวงกว้างของเขาได้แน่นอน
“ อย่าอวดดีให้มากนัก ”
ตรงตำแหน่งที่โฮ่วอี้แฝงกายอยู่ ได้ปรากฏจักรพรรดิอสูรสี่ตนทลายห้วงมิติออกมาพร้อมกับหอกสงครามขนาดยักษ์ ความแหลมคมของมันสามารถเจาะทะลวงกฎเกณฑ์แห่งมิติเวลาได้อย่างง่ายดาย
“ เหอะ พวกเศษสวะกล้าลอบโจมตีข้างั้นรึ ”
วูป!
ร่างเงาของบรรพชนมารอนันตกาลโผล่ขึ้นมาด้านหลังโฮ่วอี้ แล้วหมุนตัวปล่อยหมัดชกสวนออกไปอย่างรุนแรง ด้วยหัตถ์แห่งชะตากรรมที่อยู่เหนือกฎเกณฑ์ทั้งปวง
ตูมมม!
ในเสี้ยววินาทีต่อมา ทั้งหอกสงครามและจักรพรรดิอสูรทั้งสี่ ก็โดนหมัดยักษ์สีดำซัดใส่เต็มๆ จนได้ยินเสียงอาวุธเทพเจ้าแหลกกระจุยและกระดูกถูกบดขยี้แตกละเอียด สุดท้ายพวกมันก็ระเบิดกลายเป็นละอองเลือดหายไปในความว่างเปล่า
เมื่อจักรพรรดิอสูรฝ่ายศัตรูที่เหลือได้เห็นภาพอันน่าสยดสยองนี้ สีหน้าของพวกมันก็หมองคล้ำลงทันที ไม่ได้แสดงท่าทีเย่อหยิ่งเหมือนตอนแรกอีกต่อไป
“ บรรพชนมารอนันตกาล หนึ่งในสี่ผู้ปกครองสูงสุดแห่งจักรวาลเทพมารงั้นรึ ”
“ ไม่มีทาง ตัวตนระดับนั้นมาจะปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร ”
เรื่องนี้อย่าว่าแต่พวกองครักษ์จะตกตะลึงเลย แม้แต่ระดับผู้นำอย่างองค์ชายฉินหลางเจี้ยนและจักรพรรดินีฉินซู่หลานก็ยังเผลอขมวดคิ้วอย่างลืมตัว เนื่องจากนี่เป็นตัวตนที่มีชื่อเสียงทัดเทียมกับราชันสวรรค์เก้าภพ
“ ฉินซู่หลาน จงนำคนของเจ้ากลับไปซะ มิเช่นนั้นอย่าหาว่าผู้อาวุโสเช่นข้ารังแกผู้เยาว์!! ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน
ดีๆๆเดินเรื่องดี...
ต่อๆไป...
ขอบคุณทีมงานที่นำเรื่องดีๆมาลงให้อ่าน...