จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน นิยาย บท 622

สรุปบท ภาคสามบทที่่235 สมบัติสูงสุดแห่งจักรวาล!: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน

ตอน ภาคสามบทที่่235 สมบัติสูงสุดแห่งจักรวาล! จาก จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

ภาคสามบทที่่235 สมบัติสูงสุดแห่งจักรวาล! คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายแฟนตาซี จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน ที่เขียนโดย ZigFheZ เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

ณ มหาวิหารเทพเจ้าสูงสุด

ภายในท้องพระโรงศักดิ์สิทธิ์อันกว้างใหญ่หรูหรา จักรพรรดินีปิงเยว่ยืนขมวดคิ้วอยู่ด้านหน้าประตูลับที่ถูกซ่อนเอาไว้ด้านหลังบัลลังก์สีทอง

นัยน์ตาทั้งสองของนางเปล่งประกายสีทองเจิดจ้า ขณะกำลังพยายามใช้เคล็ดวิชาเนตรจักรวาลหมื่นสรรพสิ่ง ตรวจสอบเขตอาคมที่ขวางกั้นตนเองอยู่

“ มิติเวลาด้านใน ดูเหมือนจะถูกบิดเบือนให้หยุดนิ่งลงเกือบสมบูรณ์ ด้วยความแข็งแกร่งของข้าในปัจจุบัน หากฝืนบุกทะลวงม่านพลังเข้าไปในนั้นแม้เพียงก้าวเดียว เวลาที่ด้านนอกก็คงจะผันผ่านไปหลายวันหรืออาจจะเป็นปีเลยก็เป็นได้ ”

ด้วยข้อสรุปนี้ ทำให้จักรพรรดินีปิงเยว่เข้าใจเหตุผลที่เจ้านายของมหาปุโรหิต ไม่ได้ออกมาช่วยชีวิตลูกน้องตนเอง ตอนถูกจ้าวเทียนใช้วิชาค้นวิญญาณและสังหารไป

เพราะถ้าให้พูดกันตามตรง ถึงแม้ระดับการเพาะปลูกของจักรพรรดินีปิงเยว่จะไม่ถึงขั้นขอบเขตผู้ปกครองเอกภพ แต่ความเชี่ยวชาญในเต๋าและกฎเกณฑ์มิติเวลาของนาง เหนือกว่าโฮ่วอี้ที่เพิ่งกลายเป็นผู้ปกครองเอกภพเสียอีก

ต่อให้อีกฝ่ายจะแข็งแกร่งขนาดไหน ก็คงได้รับผลกระทบบางส่วนจากห้วงมิติเวลาที่หยุดนิ่งเช่นเดียวกัน จักรพรรดินีปิงเยว่คิดว่าในมุมมองของฝ่ายตรงข้าม บางทีตอนก้าวเท้าเข้าไปในห้องโถงได้ไม่กี่ลมหายใจ การต่อสู้ที่ด้านนอกก็คงจบลงเรียบร้อย ทำให้ไม่มีโอกาสลงมือแทรกแซงได้

“ คิดไม่ถึงเลยว่า หนึ่งในสิบจักรพรรดิบรรพกาลผู้ยิ่งใหญ่เช่นข้า จะทำได้เพียงเฝ้ามองเหตุการณ์อยู่ด้านนอกนี้เท่านั้น… ” พูดจบ จักรพรรดินีปิงเยว่ก็ถอนหายใจยาว ก่อนจะจับจ้องไปที่แผ่นหลังจ้าวเทียนซึ่งกำลังก้าวเดินไล่ตามศัตรูไปอย่างกระชั้นชิด

บูมมม! ครืนนน!

แต่ทว่า ในพริบตานั้นเองสวรรค์และปฐพีก็สั่นสะเทือน ดวงอาทิตย์นับล้านอับแสงลง ทำให้ความมืดมิดแผ่ขยายเข้าปกคลุมหมื่นดาราจักร

สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนเริ่มถูกกลิ่นอายแห่งความชั่วร้ายกลืนกิน จนสูญสิ้นสติกลายเป็นคลุ้มคลั่งเข่นฆ่าสังหารซึ่งกันและกัน เหมือนฝูงมารชั้นต่ำในขุมนรกอเวจีไม่มีผิด

วูป!

ภาพนิมิตอนาคตของแดนสุขาวดีที่โดนทำลายจนพังพินาศย่อยยับ ปรากฏขึ้นภายในความคิดของตัวตนมหาอำนาจในเอกภพทุกฝ่าย

ก่อนจะเปลี่ยนเป็นภาพจักรวาลทั้งหมดถูกปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิงสงคราม และพื้นที่อวกาศที่เต็มไปด้วยภูเขาซากศพจำนวนมากมายมหาศาล โดยมีเงาร่างมนุษย์สีดำขนาดยักษ์กำลังเปิดฉากเข่นฆ่าสรรพชีวิตอย่างไร้ความปราณี

ตูมมม!

เพียงเงาสีดำนั้นวาดฝ่ามือออกไป ดวงดาวนับล้านก็ระเบิดเป็นจุล ผู้แข็งแกร่งจำนวนนับไม่ถ้วนที่พยายามต่อต้านกรีดร้องโหยหวน ถูกทำลายไปทั้งกายเนื้อและดวงวิญญาณ

ภาพเหตุการณ์นี้น่ากลัวเกินไป แม้แต่ตัวตนระดับผู้ยิ่งใหญ่หรือจักรพรรดิเทพ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเงาร่างสีดำ จุดจบของพวกเขาก็มีเพียงความตาย แล้วถูกอีกฝ่ายกลืนกินราวกับขนมขบเคี้ยวเท่านั้น

“ ราชันเทพมารอเวจี… ”

จักรพรรดินีปิงเยว่เผลอหลุดปากพูดออกมาเบาๆ ถึงแม้ใบหน้าของเงาร่างลึกลับจะถูกบิดเบือนไม่ชัดเจน แต่นางยังจำแววตาอันโหดร้าย ไร้ความปราณี แสดงความเยือกเย็นที่มองสรรพสิ่งไม่ต่างไปจากมดแมลงของอีกฝ่ายได้ดี

แวบ!

ไวเท่าความคิด จักรพรรดินีปิงเยว่ได้ฉีกมิติหายไปในความว่างเปล่า ซึ่งปลายทางของนางก็คือโลกมนุษย์ที่กำลังจะกลายเป็นเป้าหมายต่อไปของฝ่ายตรงข้าม

ส่วนแดนสุขาวดีนั้น นับตั้งแต่ภาพนิมิตนี้ปรากฏขึ้นสถานการณ์ทุกอย่างก็คงสายเกินแก้ไปเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากมันคือจุดเริ่มต้นของมหาภัยพิบัติทำลายล้างอย่างแท้จริง

ในเวลาเดียวกัน

จ้าวเทียนที่กำลังพยายามบุกฝ่าสนามพลังห้วงเวลา ไล่ตามศัตรูเข้าไปในทางเดินลักษณะคล้ายอุโมงค์ยาวอันมืดมิด ก็รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นเดียวกัน ไม่ซิ! เขารู้ล่วงหน้าจากปากมหาเทพจูเซียนก่อนที่ภาพนิมิตจะปรากฏขึ้นด้วยซ้ำ

‘ ไม่แปลกใจเลย ว่าทำไมฝ่ายตรงข้ามถึงพยายามหลอกล่อให้ร่างอวตารของฉันและคนอื่นๆ ไปช่วยเหลือแดนสุขาวดีที่กำลังถูกกองทัพมารบุกรุก คงคิดจะอาศัยพลังของราชันเทพมารอเวจี กวาดล้างพวกเราทั้งหมดในคราวเดียวสินะ ’

‘ เหอะ เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน จะได้ลองพิสูจน์ให้รู้ชัดกันไปเลยว่าราชันเทพมารที่เคยทำลายแดนสวรรค์บรรพกาลในอดีต จะแข็งแกร่งขนาดไหน ’

หลังจากบรรลุขอบเขตจักรพรรดิเซียนขั้นสูงสุด ในจักรวาลแห่งนี้นอกจากร่างที่แท้จริงของเต๋าสวรรค์และศัตรูลึกลับที่กำลังไล่ตามอยู่ จ้าวเทียนก็ไม่หวั่นเกรงใครหน้าไหนทั้งสิ้น

ถึงแม้โฮ่วอี้จะบอกว่า ราชันเทพมารสามารถบรรลุขอบเขตผู้ปกครองได้ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต แต่ดวงวิญญาณของอีกฝ่ายก็ถูกผนึกให้หลับใหลถึงหนึ่งล้านปี ต่อให้คืนชีพกลับมาระดับพลังก็คงไม่อยู่จุดสูงสุดเช่นในอดีตแน่นอน

เหนือสิ่งอื่นใด ที่เผชิญหน้ากับฝ่ายตรงข้ามครั้งนี้ก็คือร่างอวตารไม่ใช่ร่างจริง ถึงพลาดท่าเสียทีถูกสังหารไป ก็คงส่งผลกระทบต่อจ้าวเทียนไม่มากนัก

บูม!

เมื่อตัดสินใจได้แล้ว จ้าวเทียนเปิดใช้การปกป้องของสมบัติแม่น้ำเต๋า เดินหน้าบุกฝ่าสนามพลังห้วงเวลาต่อไป จนกระทั่งเริ่มมองเห็นแผ่นหลังของบุคคลลึกลับอยู่ไม่ไกลนัก

ซึ่งเหตุผลที่จ้าวเทียนไล่ตามทันก็เป็นเพราะ เขาอาศัยเส้นทางที่อีกฝ่ายเดินนำหน้าเข้าไปก่อน จึงสามารถบุกทะลวงตามไปโดยใช้พลังครึ่งเดียว

“ หืม นั่นมัน… ” ที่จุดปลายสุดของอุโมงค์ จ้าวเทียนมองเห็นแท่นบูชาสีทองที่มีกระถางสำริดเก่าแก่โบราณวางอยู่ด้านบน

โดยที่ขาตั้งของกระถางใบนี้ถูกแกะสลักเป็นรูปสี่สัตว์เทพ มังกรเขียว หงส์แดง พยัคฆ์ขาว และเต่าทมิฬ ส่วนตัวกระถางก็เต็มไปด้วยภาพเก้าขุนเขาเก้าทะเล อันเป็นสัญลักษณ์ของสวรรค์เก้าชั้นฟ้า

ต้นไม้แห่งเอกภพ!

“ หึหึ คุณลองเดาดูซิ ”

เมื่อได้ยินแบบนั้น นัยน์ของจูเก้อหมิงก็สั่นไหวเล็กน้อย ก่อนจะกำหมัดแน่นด้วยโทสะเพราะเมื่อเขาลองอนุมานเหตุการณ์ทั้งหมดดู จึงได้รู้ว่าเหตุผลที่ฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งขึ้น ก็สืบเนื่องมากจากความโลภของลูกน้องตนนั่นเอง

“ เหอะ รอข้าเดินไปถึงแท่นบูชาก่อนเถอะ แล้วพวกเราจะได้เห็นดีกัน ” พูดจบ จูเก้อหมิงก็บุกฝ่าสนามพลังห้วงเวลาไปทีละก้าวโดยไม่สนใจจ้าวเทียนอีก

ผ่านไปไม่นาน

“ สวัสดี! ฉันขอทราบนามอันสูงส่งของผู้อาวุโสได้หรือไม่ ”

จ้าวเทียนถามอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม ตอนนี้ยังเหลือระยะทางอีกเกือบหนึ่งพันก้าวก่อนจะไปถึงแท่นบูชา เขาจึงหาอะไรทำแก้เบื่อพร้อมทั้งพยายามล้วงข้อมูลไปด้วย

“ ……. ”

“ ผู้อาวุโส ท่านหูหนวกรึ ”

“ …….. ”

“ ไม่เพียงหูหนวก แต่ยังเป็นใบ้อีกด้วย น่าสงสารจริงๆ ”

“ หุบปากของเจ้าซะ! ข้าชื่อ จูเก้อหมิง พอใจหรือยัง ” บุรุษชุดดำเปล่งเสียงออกมาด้วยความรำคาญ ขณะที่กำลังทุ่มพลังทั้งหมดบุกฝ่าสนามพลังกาลเวลาจนร่างกายสั่นสะท้าน

ทุกการก้าวเดินของเขา ทิ้งรอยเท้าจมลึกเปื้อนโลหิตสีแดงไว้ด้านหลัง แสดงให้เห็นว่าเผชิญความยากลำบากมากมายเพียงใด

“ จูเก้อหมิง? จักรวาลของผู้อาวุโสอยู่แห่งใดกัน นึกยังไงถึงเดินทางมาที่นี่ รับคำสั่ง ถูกบีบบังคับ หรือเหตุผลส่วนตัว ” จ้าวเทียนถามขึ้นอีกครั้งเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจอีกฝ่าย

เนื่องจากตัวเขารู้สึกถึงการตอบสนองบางอย่าง ระหว่างต้นไม้เอกภพกับแม่น้ำแห่งเต๋า ราวกับสมบัติทั้งสองเกิดแรงดึงดูดซึ่งกันและกันก็ไม่ปาน

‘ ไม่ใช่แค่กับแม่น้ำแห่งเต๋า กระทั่งดวงวิญญาณฉันก็ยังมีการตอบสนองต่อต้นไม้เอกภพเช่นเดียวกัน ยิ่งเข้าใกล้แท่นบูชามากเท่าไหร่ ความรู้สึกนี้ก็ยิ่งชัดเจนขึ้น ’

ในใจจ้าวเทียนเริ่มรู้สึกกดดันขึ้นมาทีละน้อย เขารู้สึกว่าตั้งแต่บุกมาที่วิหารเทพเจ้าสูงสุด อุปสรรคขวากหนามก็คลี่คลายโดยง่าย เหตุการณ์ทุกอย่างก็ดูราบรื่นแปลกๆ

ผลประโยชน์มากมายเหมือนถูกจัดเตรียมไว้เพื่อเขาตั้งแต่ต้น ราวกับมีมือที่มองไม่เห็น ควบคุมโชคชะตาคอยชักใยอยู่เบื้องหลังไม่มีผิด

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน