แดนสุขาวดีทั้งหมดกำลังตกอยู่ในความวุ่นวาย เมื่อราชันเทพมารอเวจีหลุดออกจากผนึก มันก็เกิดทั้งฝนโลหิตและกลุ่มเมฆสีดำแผ่ขยายเข้าปกคลุมท้องฟ้า บดบังแสงสว่างกลืนกินดวงตะวันจนหายไปหมดสิ้น
ส่งผลให้สิ่งมีชีวิตสัตว์เทวะหลายสิบล้านตน ที่ถือกำเนิดจากแสงทิพย์แห่งพุทธะสูญเสียจิตวิญญาณตนเอง พากับหมอบคลานอยู่บนพื้นด้วยความหวาดกลัว จนสุดท้ายก็ตกเป็นเหยื่อให้ฝูงมารร้ายได้เข่นฆ่าอย่างสบายใจ
“ ท่านอาจารย์ ได้โปรดหยุดเถอะ หากเป็นตอนนี้พวกเรายังหลบหนีทัน ข้ากับศิษย์น้องสามจะช่วยปกป้องท่านไปหาศิษย์พี่ใหญ่เอง ”
“ ใช่แล้วท่านอาจารย์ อย่าได้ทำให้การเสียสละตนเองของม้ามังกรขาวเปล่าประโยชน์เลย ชีวิตของท่านไม่ควรมาจบลงตรงที่นี่ ”
ตือโป๊ยก่าย กับ ซัวเจ๋ง รีบพูดขึ้นอย่างร้อนรน ขณะที่กำลังกางอาณาเขตศักดิสิทธิ์ปกป้องพระถังซัมจั๋งหรือพระโพธิสัตว์กิมเสี้ยนอย่างเต็มความสามารถ ท่ามกลางการโจมตีอันดุร้ายของกองทัพมารนับแสน
“ หนีงั้นรึ ในช่วงเวลาที่แดนสุขาวดีเผชิญภัยพิบัติแห่งการล่มสลาย พวกเจ้าจะให้อาจารย์ละทิ้งทุกคนไปได้อย่างไร ” พระถังซัมจั๋งพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทั้งที่ร่างกายของท่านค่อยๆ สูญเสียกลิ่นอายชีวิตและเริ่มเปลี่ยนกลายเป็นหินอย่างช้าๆ
นี่คือผลลัพธ์ของการฝืนเจตจำนงฟ้าดินนำความลับสวรรค์มาเปิดเผย โดยการส่งภาพนิมิตเหตุการณ์ในอนาคต แจ้งเตือนเข้าสู่จิตวิญญาณของผู้แข็งแกร่งทั่วทั้งจักรวาล
“ แต่ท่านอาจารย์ได้ตักเตือนเหล่าพระโพธิสัตว์ เรื่องการร่วมมือกับมหาเทพอวี่หวงไปแล้ว นี่เป็นความผิดของพวกเขาเองที่ไม่เชื่อท่าน เหตุใดพวกเราจึงต้องพลอยมารับเคราะห์ไปด้วยกันล่ะ ” ตือโป๊ยก่ายทักท้วงขึ้นอย่างไม่พอใจ อันที่จริงต่อให้เขาไม่พูดออกมาตรงๆ คนที่ได้ยินก็ต่างรู้ดีว่าผู้ที่เขาไม่พอใจที่สุดก็คือพระยูไล
“ อามิตาพุทธ หากพวกเจ้ายังเคารพนับถืออาจารย์อยู่ ก็ห้ามกล่าววาจาเช่นนั้นออกมาอีกเด็ดขาด ” พูดจบ พระถังซัมจั๋งก็ถอนหายใจยาว
ก่อนจะเงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้าเพื่อสังเกตการต่อสู้ระหว่างเจ็ดราชันมารกับเหล่าพระโพธิสัตว์ระดับสูง ซึ่งฝ่ายตนก็กำลังตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด
“ หงอคง…เห็นทีอาจารย์คงไม่มีโอกาสสั่งสอนเจ้าอีกต่อไปแล้ว หวังว่าในภายภาคหน้าเจ้าจะสามารถบรรลุธรรมเป็นอรหันต์ผู้หลุดพ้นได้นะ”
ไวเท่าความคิด อวัยวะส่วนที่กลายเป็นหินของพระถังซัมจั๋งแตกสลาย เปิดเผยผิวกายสีทองเปล่งแสงสว่างเจิดจ้า จากนั้นเสียงสวดมนต์ภาษาสันสกฤตก็ดังก้องไปทั่วผืนปฐพี
“ ไม่นะ ท่านอาจารย์อย่าทำแบบนี้ ”
ตือโป๊ยก่ายกับซัวเจ๋งกรีดร้องออกมาอย่างสิ้นหวัง พวกเขาสัมผัสได้ว่าพลังอันแข็งแกร่งนี้ต้องแลกมาด้วยประกายแสงสุดท้ายของชีวิตอาจารย์ตนเอง
“ ทุกท่าน หากปล่อยให้ราชันเทพมารอเวจีฟื้นคืนพลังโดยสมบูรณ์ ไม่ใช่แค่เพียงแดนสุขาวดีเท่านั้นที่จะล่มสลาย แต่มันยังรวมถึงสิ่งมีชีวิตทั้งมวลในจักรวาลที่จะถูกกลบฝังไปพร้อมกัน”
คำพูดประโยคนี้ราวกับเป็นอสนีบาตยามแล้ง ฟาดผ่ากลางใจของเหล่าสาวกพุทธองค์ทุกคน เนื่องแต่ละวินาที ที่สิ่งมีชีวิตและสัตว์เทวะนับแสนทั่วทั้งโลกถูกสังหาร
ทั้งเลือดเนื้อและดวงวิญญาณของพวกมัน ก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของราชันเทพมารอเวจี ซึ่งในเวลานี้ลองคำนวณดูก็ถูกสังเวยไปหลายสิบล้าน ถ้ายังไม่รีบหยุดยั้งเอาไว้คงได้สูญสิ้นไปจนหมดแน่
“ หากพวกเราไม่ลงนรก แล้วผู้ใดเล่าจะลงนรก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อาตมาก็ขอล่วงหน้านำพวกท่านไปก่อนก้าวหนึ่ง ”
สิ้นเสียง ร่างของพระถังซัมจั๋งก็กลายเป็นพระพุทธรูปทองคำลอยสูงขึ้นไปบนฟ้า จากนั้น พระโพธิสัตว์และพระอรหันต์นับหมื่นนับแสนที่กำลังจะแพ้พ่ายต่อมวลมาร ก็ตัดสินใจยอมเสียสละตัวเอง เดินตามรอยเท้าของพระถังซัมจั๋งกันแทบทุกองค์
วูป! ครืนนน!
เสียววินาทีนั้นเอง แสงศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธรูปทองคำจำนวนนับไม่ถ้วน ได้ขับไล่ความมืดมิดออกไปจากท้องฟ้า นำพาความหวังกลับมาให้สรรพชีวิตอีกครั้ง
“ ชุมนุมหมื่นพุทธ! ”
บูมมม!
พระพุทธรูปทองคำทั้งหมด ได้ยื่นฝ่ามือที่สัญลักษณ์สวัสดิกะออกไปแล้วกดลงพร้อมกัน ทำให้ ห้วงมิติพังทลายความว่างเปล่าแตกเป็นเสี่ยงๆ สวรรค์และปฐพีสั่นสะเทือน ปรากฏฝ่ามือยักษ์ปกคลุมท้องฟ้าตบฟาดใส่กองทัพมารจนแหลกกระจุย
การโจมตีครั้งนี้ไม่ได้กำหนดเป้าหมายไปที่เจ็ดราชันมาร แต่เล็งไปที่หมู่มารน้อยใหญ่ที่กำลังเข่นฆ่าสิ่งมีชีวิตในแดนสุขาวดีทั่วทุกแห่งหน โดยไม่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์แต่อย่างใด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน