สรุปเนื้อหา ภาคสามบทที่่243 เปิดเผยพลังที่แท้จริง – จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน โดย ZigFheZ
บท ภาคสามบทที่่243 เปิดเผยพลังที่แท้จริง ของ จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน ในหมวดนิยายแฟนตาซี เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย ZigFheZ อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
การปรากฏตัวของจ้าวเทียนครั้งนี้ ไม่ได้ส่งสัญญาณแจ้งเตือนต่อฝ่ายตรงข้ามแต่อย่างใด ร่างกายเขาเหมือนผสานเป็นหนึ่งเดียวกับความว่างเปล่า ต่อให้เป็นตัวตนระดับผู้ยิ่งใหญ่แห่งแดนสวรรค์หรือขอบเขตจักรพรรดิทั่วไป ก็ไม่สัมผัสการมาถึงของเขาได้
‘ หืม มีการตอบสนองจากแผ่นป้ายสำนักใกล้ๆบริเวณนี้ พวกศิษย์พี่ใหญ่และคนอื่นโดนกักตัวอยู่ด้านในงั้นเหรอ ’
จ้าวเทียนจ้องมองไปที่หลุมดำเบื้องหน้าอย่างเคร่งเครียด ดูเหมือนราชันเทพมารอเวจีจะต่อกรด้วยไม่ง่ายอย่างที่คิด อีกฝ่ายคงกำลังหาเบี้ยไว้ใช้ต่อรองกับเขาแน่นอน
แต่ทว่า
ยังไม่ทันที่จ้าวเทียนจะได้บุกเข้าไปในอาณาเขตศัตรู ก็ได้มีกลุ่มก้อนความมืดขนาดใหญ่ซึ่งเกิดจากการรวมตัวของดวงวิญญาณหลายล้าน พุ่งทะลวงถาโถมออกมาจากใจกลางหลุมดำเหมือนฝูงผึ้งได้กลิ่นน้ำหวาน
เพียงพริบตาเดียว พวกมันก็เข้าไปสิงสู่ยึดครองซากศพแล้วฟื้นคืนชีพเป็นนักรบมาร ใช้เวลาไม่ถึงสามลมหายใจ ตรงหน้าจ้าวเทียนก็ปรากฏกองทัพเกราะมารนับล้านที่มีแววตาสีแดงฉานดุจโลหิต
เหนือสิ่งอื่นใด กระทั่งมีดวงวิญญาณแห่งความมืดซึ่งดูแข็งแกร่งกว่าตนอื่น กำลังกำหนดเป้าหมายไปที่เหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องสำนักดาราสวรรค์ ที่จ้าวเทียนเคยสนิทสนมในชีวิตที่แล้วอีกด้วย
“ บัดซบ! อย่าได้หวังไป ”
จิตสังหารของจ้าวเทียนระเบิดออกมาอย่างรุนแรง ส่งผลให้ห้วงมิติโดยรอบสั่นสะเทือนจนปรากฏรอยแตกร้าว ความว่างเปล่าและกฎเกณฑ์ทั้งหมดเริ่มพังทลายลงเพราะแบกรับโทสะของเขาไม่ไหว
ฮูมมม!
ร่างกายจ้าวเทียนปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิงสุริยันอันร้อนแรงที่โหมกระหน่ำ ราวกับมีดวงตะวันนับร้อยปะทุคลื่นพลังทำลายล้างออกมาพร้อมกัน
ทันใดนั้น
!! กีซซซ!
สีหน้าของเหล่าวิญญาณแห่งความมืดที่กำลังพยายามยึดครองซากศพ และมารอเวจีจำนวนนับไม่ถ้วนที่เพิ่งถือกำเนิดใหม่ก็ได้เปลี่ยนไป เผยให้เห็นถึงความหวาดกลัวสุดขั้วหัวใจ
ร่างของพวกมันสัมผัสได้ถึงเจตนาฆ่าอันเยือกเย็น จนต้องหยุดยั้งทุกสิ่งที่กำลังกระทำอยู่ทันที เวลานี้ต่อให้ไม่มีคำสั่งจากราชันเทพมาร พวกมันก็รับรู้โดยสัญชาตญาณว่าควรทำเช่นไร
เปลวเพลิงหยางบริสุทธิ์!!
อันตราย!! ล่าถอย!!
ไวเท่าความคิด ทั้งวิญญาณแห่งความมืดและเหล่านักรบมารอเวจีแทบทุกตน พากันพุ่งทะยานหลบหนีเข้าไปในหลุมดำสุดชีวิต
แต่ทว่า…น่าเสียดายที่พวกมันตัดสินใจช้าเกินไปก้าวหนึ่ง
เพราะพริบตาที่จ้าวเทียนปลดปล่อยจิตสังหารออกมา ทุกสิ่งทุกอย่างก็อยู่ในการควบคุมของเขาเรียบร้อยแล้ว
แวบ!
เมื่ออาณาเขตแสงสีเงินรูปยี่สิบแปดกลุ่มดาวปรากฏขึ้น ห้วงมิติทั้งหมดก็เหมือนถูกแช่แข็ง ส่งผลให้กาลเวลาไหลช้าลงจนแทบจะหยุดนิ่ง
“ จง…หายไปซะ ”
ครืนนนน! บูมมมมมม!
ดวงอาทิตย์ขนาดยักษ์ระเบิดออกมาโดยมีจ้าวเทียนเป็นจุดศูนย์กลาง รัศมีของมันกว้างยิ่งกว่าระบบสุริยะ
จนมองเห็นคลื่นเปลวเพลิงสีทองกวาดไปทั่วทั้งอาณาเขตแดนสุขาวดี เผาไหม้สรรพสิ่งจนแทบหมดสิ้น หลงเหลือเพียงราชันวิญญาณแห่งความมืดที่กล้าแข็งไม่กี่ร้อยตนเท่านั้น
“ เหอะ ต่อให้ต้านทานเปลวเพลิงสุริยันได้แล้วยังไงล่ะ สุดท้ายพวกแกก็ไม่มีวันหลีกหนีความตายพ้น ”
จ้าวเทียนแค่นเสียงเย็นชา ก่อนที่จะปลดปล่อยฤทธานุภาพแห่งมหาเทพผู้ปกครองแดนสวรรค์ชั้นฟ้า เพื่อควบคุมเจตจำนงของต้นไม้เอกภพภายในภูเขาจักรวาล
“ ทัณฑ์อสนีบาตผลาญวิญญาณ จงมา! ”
วูป!! เปรี๊ยะ!ๆๆๆ
วังวนพายุเมฆสายฟ้าจากสามภพภูมิ ได้ถูกประกาศิตของจ้าวเทียนดึงดูดให้มารวมตัวกัน เหนือเหล่าราชันจิตวิญญาณแห่งความมืดและหลุมดำขนาดยักษ์
“ กลิ่นอายนี่มัน หรือว่าจะเป็นทัณฑ์สวรรค์ ”
“ ฝีมือของผู้ใดกัน จักรพรรดินีหลินซินเยว่งั้นเหรอ ”
“ ไม่มีทาง! จักรพรรดินีหลินซินเยว่ยังไม่ได้เชื่อมต่อกับเจตจำนงแห่งสวรรค์ นางจะเรียกทัณฑ์สายฟ้าขั้นสูงสุดได้อย่างไร ”
เนื่องจากการรวมตัวของพลังงานสวรรค์และปฐพีจำนวนมากมายมหาศาล มันก็ได้ดึงดูดความสนใจของขั้วมหาอำนาจต่างๆทันที โดยเฉพาะกับเหล่ากองทัพที่เลือกหลบหนีไปตอนที่ร่างอวตารของจ้าวเทียนพ่ายแพ้ก่อนหน้านี้
ทันใดนั้น
“ มันสายไปแล้ว พริบตาที่ข้าฟื้นคืนพลังแห่งราชันเทพมารโดยสมบูรณ์ จักรวาลทั้งหมดก็อยู่ภายใต้ฝ่าเท้าข้า ทัณฑ์สวรรค์กระจ้อยร่อยเช่นนี้จะทำอะไรได้ ”
บูมมม!
มีภาพมายาเทพอสูรสวมชุดเกราะพุ่งทะลวงออกมาจากใจกลางหลุมดำ การก้าวเดินแต่ละก้าวของมันราวกับจะเหยียบย่ำชั้นฟ้า เสมือนมีอำนาจอยู่เหนือกฎเกณฑ์ทั้งปวง
มันสะกดข่มได้แม้แต่มรรคาสวรรค์และปฐพี หรือกระทั่งจักรพรรดิเทพขั้นสูงสุด!
สิ้นเสียงจ้าวเทียน แสงกระบี่อันไร้คู่เปรียบก็พุ่งทะลวงออกจากวังวนพายุเมฆสายฟ้า มันได้หลอมรวมแก่นแท้ของเต๋ากระบี่ราชันสวรรค์และอสนีบาตผลาญวิญญาณเป็นหนึ่งเดียว จนปลดปล่อยอานุภาพสูงสุดสะท้านฟ้าสะเทือนดิน
ฉัวะ! ตูมมมม!
ทั้งความว่างเปล่าและร่างในชุดเกราะถูกกระบี่สายฟ้าสีม่วงฟันขาดครึ่ง แม้แต่หลุมดำขนาดยักษ์เบื้องหลังก็ยังถูกแบ่งแยกออกจากกันจนแตกสลายไป ส่วนพวกราชันวิญญาณแห่งความมืดนั้นได้ถูกเผาไหม้เป็นจุลตั้งแต่แรกแล้ว
แวบ!
พริบตาที่ความมืดมิดจางหายไป สิ่งแรกที่ปรากฏสู่สายตาจ้าวเทียนก็คือบัลลังก์กระดูกขนาดยักษ์ ซึ่งถูกสร้างขึ้นจากกองซากศพของสิ่งมีชีวิตหลายหมื่นล้านในอาณาเขตปกครองแดนสุขาวดี
“ สมแล้วที่เป็นบุตรแห่งโชคชะตาของเอกภพ ดูเหมือนตัวหมากที่เต๋าสวรรค์เตรียมไว้จะถูกเจ้ากำจัดหมดแล้วสินะ ”
บุรุษผมขาวหน้าตาหล่อเหลานั่งอยู่บนบัลลังก์กระดูกอย่างสง่างาม นัยน์ตาสีแดงฉานของเขาหยามเหยียดฟ้าดิน เมินเฉยต่อสรรพสิ่งในพิภพจบแดน
มือขวาถือง้าวมารทมิฬขนาดใหญ่ที่สามารถทำลายสามภพสามภูมิ มือซ้ายถือจอกสุราที่ทำจากกะโหลกศีรษะสีทอง มีลักษณะที่ทั้งดูชั่วร้ายและสูงส่งในเวลาเดียวกัน
ส่วนกองกำลังส่วนใหญ่ของสำนักดาราสวรรค์และเหล่าพระโพธิสัตว์จากแดนสุขาวดี ล้วนถูกกักขังอยู่ในเขตอาคมโลหิตรูปดอกบัวตูมขนาดยักษ์ ซึ่งกำลังดูดกลืนพลังชีวิตของพวกเขาอย่างตะกละตะกลามราวกับเป็นอาหารอันโอชะ
“ คิดจะใช้พวกเขา มาบีบบังคับให้ฉันยอมแพ้งั้นเหรอ ” จ้าวเทียนพูดขึ้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ก่อนจะกวาดมองไปยังร่างอันเหี่ยวแห้งของมหาเทพจูเซียนที่ทรุดกายอยู่แทบเท้าอีกฝ่าย
“ ข้าไม่ทำเรื่องที่ไร้ประโยชน์เช่นนั้นหรอก ว่าแต่ เจ้าสนใจไอ้หุ่นเชิดนี่ด้วยงั้นหรือ ” ราชันเทพมารอเวจีใช้เท้าเหยียบไปที่ศีรษะมหาเทพจูเซียน แล้วจึงพูดขึ้นต่อ
“ ไม่ต้องห่วง ข้าเพียงดูดกลืนเมล็ดพันธุ์เต๋าสวรรค์และพลังทั้งหมดของมัน ยังไม่ได้ทำลายจิตวิญญาณที่แท้จริงโดยสมบูรณ์ ”
เปรี้ยง!
มหาเทพจูเซียนถูกเตะกระเด็นเข้าไปอยู่ในเขตอาคมบัวโลหิตรวมกับคนอื่นๆ ถือเป็นโชคดีที่เคล็ดกายาอมตะของเขาแข็งแกร่งมาก แม้จะสูญเสียต้นกำเนิดพลังชีวิตทั้งหมดไปแล้วก็ยังไม่ดับสลายไปง่ายๆ
“ จ้าวเทียน! เจ้ากับข้ามาร่วมมือกันกำจัดเต๋าสวรรค์ แล้วแบ่งกันปกครองจักรวาลคนละครึ่งเป็นอย่างไร ตราบใดที่เจ้ายอมตกลงข้าจะปล่อยตัวประกันทั้งหมดและถอนกองทัพออกจากโลกมนุษย์ทันที ”
“ หนึ่งมหาเทพผู้ปกครองแสงสว่าง หนึ่งจอมราชันผู้ปกครองความมืด เราจะเป็นพันธมิตรกับเหมือนสามผู้ปกครองในยุคบรรพกาล ฟังดูไม่เลวใช่ไหม… ”
ราชันเทพมารอเวจีลุกขึ้นจากบัลลังก์ช้าๆ พร้อมทั้งก้าวเดินมาเผชิญหน้ากับจ้าวเทียนด้วยรอยยิ้ม ตัวเขาได้ศึกษาข้อมูลนิสัยใจคอของอีกฝ่ายมาเป็นอย่างดี จึงมีความมั่นใจในข้อเสนอนี้เป็นอย่างมาก
สำหรับจ้าวเทียนการข่มขู่หรือใช้กำลังบีบบังคับใดๆล้วนไร้ประโยชน์ เพราะตัวเขาคือบุตรแห่งโชคชะตาที่แท้จริง ตราบใดที่ยังไม่มั่นใจเต็มสิบส่วนก็อย่าไปสู้ด้วยเป็นอันขาด
ต้องเข้าใจว่า ราชันเทพมารอเวจีในยุคปัจจุบันได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับโบราณาจารย์มารเฮยเหลียนเรียบร้อยแล้ว จึงไม่ได้มีนิสัยบ้าคลั่งในการทำลายล้างเหมือนครั้งอดีต เมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่ยากจะเอาชนะ ก็ต้องเปลี่ยนวิธีการเป็นเรื่องธรรมดา
‘ รีบตอบตกลงเสียซิ ขอเพียงให้ข้าได้กลืนกินร่างอวตารของเต๋าสวรรค์ที่เหลือ พอถึงตอนนั้นเจ้าก็จะไม่อาจรับมือข้าได้อีกต่อไป ’
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน
ดีๆๆเดินเรื่องดี...
ต่อๆไป...
ขอบคุณทีมงานที่นำเรื่องดีๆมาลงให้อ่าน...