จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน นิยาย บท 631

สรุปบท ภาคสามบทที่่244 นรกอเวจีสิบแปดขุม กับ " แกคู่ควรหรือเปล่า ": จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน

ภาคสามบทที่่244 นรกอเวจีสิบแปดขุม กับ " แกคู่ควรหรือเปล่า " – ตอนที่ต้องอ่านของ จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน

ตอนนี้ของ จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน โดย ZigFheZ ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายแฟนตาซีทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ภาคสามบทที่่244 นรกอเวจีสิบแปดขุม กับ " แกคู่ควรหรือเปล่า " จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

ข้อเสนอให้แบ่งจักรวาลปกครองกันคนละครึ่ง มันทั้งเป็นคำพูดที่ดูอุกอาจและอหังการมาก แต่ราชันเทพมารอเวจีก็มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะพูดเช่นนั้น

เพราะพลังของเขาในเวลานี้ สามารถเมินเฉยต่อขุมกำลังมหาอำนาจทั้งหมดได้อย่างแท้จริง นอกจากจ้าวเทียนแล้วก็คงไม่มีใครต่อกรกับเขาได้อีก

“ ไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับดาราจักรทางช้างเผือกและอาณาเขตปกครองของกองกำลังพันธมิตรที่เข้าร่วมกับเจ้าแน่นอน ”

“ เป้าหมายของข้าคือ เหล่าพันธมิตรของวังสวรรค์และนครแอสการ์ด รวมไปถึงดาราจักรแดนเถื่อนของพวกโจรสลัดอวกาศรอบๆสุสานดวงดาว ซึ่งไอเศษสวะพวกนี้ก็เป็นศัตรูของเจ้าอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องไปสนใจใยดีพวกมันเลย จริงไหม ”

ราชันเทพมารอเวจีพูดเน้นย้ำไปอีกครั้ง เมื่อเห็นจ้าวเทียนเริ่มนิ่งเงียบไป โดยไม่ได้รู้เลยว่าเหตุผลที่อีกฝ่ายไม่ได้ตอบวาจา

ก็เป็นเพราะกำลังสนทนาลับผ่านแผ่นหยกสื่อสาร เพื่อวางแผนการบางอย่างกับพวกคังหลินที่ถูกกักขังอยู่ในเขตอาคมโลหิตต่างหาก

ทว่า การที่จ้าวเทียนไม่ได้ยอมรับหรือปฏิเสธเงื่อนไขของราชันเทพมารให้ชัดเจน มันก็ได้กระตุ้นให้กองกำลังมหาอำนาจที่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่รอบๆ เริ่มรู้สึกวิตกกังวลขึ้นมา โดยเฉพาะพวกที่เคยเข้าร่วมกับมหาเทพอวี่หวงและเป็นศัตรูกับจ้าวเทียนมาก่อน

“ หยุดใช้อุบายได้แล้ว มหาเทพจ้าวเทียนไม่มีทางหลงกลแผนการชั่วร้ายของเจ้าหรอก ”

“ เหอะ! นี่เหรอราชันเทพมารอเวจีผู้ยิ่งใหญ่ในตำนาน พอรู้ตัวว่าสู้ไม่ได้ ก็มาขอเป็นพวก ช่างไร้ศักดิ์ศรีสิ้นดี ”

คำพูดเหล่านี้ มีเจตนากระตุ้นโทสะราชันเทพมารอเวจีอย่างชัดเจน พวกเขาใช้วิธีหลบซ่อนตัวในช่องว่างมิติเพื่อปลุกปั่นให้เกิดการต่อสู้ขึ้นโดยเร็ว ไม่ให้จ้าวเทียนมีเวลาทบทวนเงื่อนไขของศัตรู

แต่ทว่า

ป๊อก! ตูม!ๆๆๆๆๆ

เพียงแค่ราชันเทพมารดีดนิ้วเบาๆ กฎเกณฑ์มิติในอาณาเขตโดยรอบก็ถูกบิดเบือน ส่งผลให้ผู้หลบซ่อนกายอยู่ในนั้นทั้งหมดถูกบดขยี้เป็นเศษซากทันที

“ ดูเหมือนมดปลวกอย่างพวกเจ้า ยังไม่รู้ชะตากรรมของตนเองสินะ คิดจะกระตุ้นให้ข้ากับจ้าวเทียนต่อสู้กัน เพื่อรอเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ในท้ายที่สุดงั้นรึ ”

“ ช่างเป็นวิธีการที่โง่เขลาจริงๆ…. ”

สิ้นเสียง ราชันเทพมารอเวจีก็วาดฝ่ามือกลับไปด้านหลัง พร้อมปลดปล่อยเปลวเพลิงสีดำเป็นสัญลักษณ์ดาวห้าแฉกกลับหัว พุ่งไปประทับบนบัลลังก์โครงกระดูก

แวบ! ครืนนน!

บัลลังก์โครงกระดูกได้จมหายลงไปในความมืดมิด ก่อนที่จะปรากฏบึงน้ำสีดำที่มีขนาดกว้างใหญ่ยิ่งกว่าระบบสุริยะขึ้นมาแทนที่ มันคือบ่อมารอนธการต้นกำเนิดแห่งบาปกรรมและพลังงานด้านลบทั้งมวลในสามภูมิ

ทันใดนั้น

บูมมม!

บ่อมารอนธการ ก็ได้ระเบิดพายุห้วงมิติพวยพุ่งทะยานขึ้นสูงไร้จุดสิ้นสุด ราวกับกำแพงแสงสีดำที่แบ่งแยกจักรวาลออกเป็นสองส่วน พร้อมกับมีคลื่นหมอกทมิฬอันน่าสะพรึงกลัว แผ่ขยายออกมาปกคลุมทะเลดวงดาวกลืนกินสรรพสิ่ง

“ นี่มัน กลิ่นอายชั่วร้ายที่สามารถหลอมละลายดวงวิญญาณเช่นนี้ หรือตำนานจะเป็นเรื่องจริง ”

“ บัดซบ แต่ของสิ่งนี้มันถูกสิบจักรพรรดิบรรพกาล ทำลายไปตั้งแต่มหาสงครามเมื่อหนึ่งล้านปีก่อนแล้วไม่ใช่เหรอ มันจะปรากฏขึ้นในยุคสมัยของพวกเราได้อย่างไร ”

เหล่าตัวตนมหาอำนาจต่างพากันหนาวสะท้าน รู้สึกหวาดกลัวไปจนถึงขั้วหัวใจ เมื่อได้เห็นภาพเจดีย์สิบแปดชั้นสีแดงฉานดุจโลหิต ลอยกลับหัวอยู่ด้านในพายุห้วงมิติ เหนือบ่อมารอนธการ

มันคือ หนึ่งในมหาสมบัติสูงสุดแห่งเอกภพในยุคราชันเทพมารอเวจี ซึ่งเป็นอวตารที่แท้จริงของนรกสิบแปดขุม มีชื่อว่า…สิบแปดภพโลกาสิ้นสูญ

โฮกกก! ก๊าซซซซ

พริบตาที่เจดีย์โลหิตปรากฏขึ้น สิ่งมีชีวิตที่ถูกผนึกอยู่ด้านในก็กู่ร้องคำรามอย่างคลุ้มคลั่ง เหมือนต้องการทำลายสถานที่จองจำออกมาสู่โลกภายนอก จนประตูมิติของเจดีย์แต่ละชั้นสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

โดยเฉพาะชั้นสิบแปดซึ่งอยู่ด้านล่างสุด ที่มีเส้นรยางค์สีดำหลายสิบเส้นฉีกแหวกรอยแยกมิติออกมา ทำให้มองเห็นดวงตาอสูรกายขนาดยักษ์กำลังจับจ้องพวกเขาอยู่ด้านใน

สิ่งนี้คือ…อนันตกาลเสื่อมสลาย อสูรร้ายบรรพกาลแห่งการสิ้นสูญ ที่เคยสังหารจักรพรรดิเทพขั้นสูงไปถึงสององค์ในมหาสงครามครั้งอดีต

เพียงแต่ นี่เป็นตัวตนที่แท้จริงของมัน ไม่ใช่ร่างจำแลงที่เฉินจิ้งเคยเรียกออกมา ซึ่งมีพลังเพียงหนึ่งในหมื่นของร่างจริงเท่านั้น

นอกจากนี้ ตัวตนที่ถูกผนึกคุมขังไว้ในนรกชั้นสิบแปด ก็ไม่ใช่แค่อนันตกาลเสื่อมสลายเพียงตนเดียว มันยังมีอสูรมารร้ายที่มีความแข็งแกร่งทัดเทียมกันอีกสี่ตน

เรียกได้ว่า ถ้าพวกมันสามารถฝ่าผนึกหลุดออกมาได้แล้ว กองทัพมหาอำนาจทั้งหมดก็คงเผชิญกับนรกบนดินแน่นอน

“ เหอะๆ ตลอดเวลาหนึ่งล้านปีที่ผ่านมา ในขณะที่พวกเจ้ามัวแต่ทำสงครามแย่งชิงอำนาจฆ่าฟันกันเองทุกยุคสมัย ”

“ ข้าก็ได้แอบรวบรวมซากศพและเชลยศึกของฝ่ายที่พ่ายแพ้ มาทำพิธีกรรมเช่นสังเวยให้เทพมารต่างภพ เพื่อปลุกชีพกองทัพมารอเวจีอันยิ่งใหญ่กลับคืนมาอีกครั้ง ”

ราชันเทพมารพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน สายตาอันเย็นชาของเขากวาดมองไปยังกองทัพมหาอำนาจแห่งแดนสวรรค์อย่างดูแคลน

เพราะหากอีกฝ่ายไม่ได้ทำสงครามกันเอง จนมีผู้แข็งแกร่งมากมายล้มตายลง ก็อาจจะยังพอรักษาขุมกำลังรบไว้พอต่อต้านกองทัพของตนได้บ้าง ไม่ได้ตกอยู่ในสภาพน่าสังเวชเหมือนเวลานี้

“ ห้าจักรพรรดิอสูร หนึ่งพันราชันมาร หมื่นล้านไพร่พล นี่สินะ กองทัพอเวจีที่เคยทำลายแดนสวรรค์บรรพกาลในอดีต ” จ้าวเทียนกวาดตามองเหล่ามารที่ถูกคุมขังในเจดีย์โลหิตอย่างใช้ความคิด

“ หึหึ เริ่มสนใจข้อเสนอของข้าขึ้นมารึยัง ขอเพียงเจ้าตอบตกลง ด้วยแสนยานุภาพของกองทัพข้า จะไม่มีผู้ใดในจักรวาลแห่งนี้ต้านทานพวกเราได้แน่นอน ” ราชันเทพมารฉีกยิ้มชั่วร้าย ก่อนจะพูดขึ้นต่อ

“ ในทางกลับกัน หากเจ้าปฏิเสธ ข้าจะส่งพวกมันไปเดินเล่นบนโลกมนุษย์ ส่วนสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนั้นเจ้าก็ลองคาดเดาดูเองแล้วกัน ”

!!

โฮกกก!

เสียงคำรามอันดุดันของราชันเทพมารดังสะท้านสามภพ มองเห็นภาพมายาคมง้าวสีดำขนาดมหึมาฟันกวาดเป็นแนวนอน ราวกับจะแบ่งแยกจักรวาลเป็นสองส่วน ส่งผลให้หนึ่งดาราจักรสูญสิ้น ดวงดาวนับแสนระเบิดเป็นจุล

ฉัวะ! เปรี้ยงงง!

พริบตานั้นเอง แสงกระบี่สีทองก็สว่างวาบออกมาต้านทานคมง้าวแห่งการทำลายล้างไว้ ทำให้ขุมพลังขั้วตรงข้ามทั้งสองเกิดการหักล้างกันเอง จนภาพมายาคมง้าวและแสงกระบี่แหลกละเอียดระเบิดออกไปรอบด้าน

“ นี่มัน…ไม่ใช่การปะทะกันของจักรพรรดิเทพแล้ว นี่พวกเขาบรรลุขอบเขตเดียวกับสามผู้ปกครองในตำนานแล้วงั้นหรือ ”

เทพโอซีริสอ้าปากค้าง เมื่อเห็นเทพโลกาขั้นเก้าคนหนึ่งถูกเศษเสี้ยวรังสีง้าวเฉือนออกเป็นสองส่วน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตัวตนระดับล่างที่เพียงแค่สัมผัสออร่าก็ร่างแตกสลายเป็นขี้เถ้าเลย

“ รีบถอย มาอยู่ด้านหลังข้า ” เทพีอามาเทราสุตัดสินใจใช้กระจกยาตะกางม่านพลังศักดิ์สิทธิ์คุ้มกันทุกคนไว้

แต่ถึงแม้จะเป็นอาวุธเทพเจ้าระดับสูงที่โดดเด่นด้านการป้องกันอย่างกระจกยาตะ ก็ยังต้านทานความปั่นป่วนของคลื่นพลังทำลายล้างทั้งหมดไม่ไหว จนกองทัพเหล่ามหาอำนาจเกิดการบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก

จนกระทั่ง เมื่ออาณาเขตการต่อสู้ของตัวตนสูงสุดทั้งสอง ทะลวงผ่านเข้าไปยังห้วงมิติสนามรบเทพมารบรรพกาล เหล่ามหาอำนาจทั้งหลายจึงค่อยถอนหายใจอย่างโล่งอก ที่ยังสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้

“ พวกเจ้ามัวทำสิ่งใดกันอยู่ รีบเข้าไปช่วยเหลือผู้ที่ถูกผนึกอยู่ในเขตอาคมโลหิตซะ ส่วนเหล่ามารในนรกสิบแปดขุมและบ่อมารอนธการนั้น ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกข้าเอง ”

!!

สิ้นเสียง ประตูเคลื่อนย้ายสีทองขนาดยักษ์สองบาน ก็ถูกเปิดขึ้นจากทิศทางของแดนสวรรค์ ก่อนจะมีบัลลังก์เมฆสีขาวและเรือรบสุริยันพุ่งทะลวงฝ่ารอยแยกมิติออกมา พร้อมกับกองทัพเทพอันเกรียงไกรหลายพันล้านตน

ซึ่งเมื่อเทพีอามาเทราสุกับเทพโอซิริส มองเห็นผู้ยืนอยู่บนบัลลังก์เมฆและเรือรบสุริยันก็มีสีหน้าผ่อนคลายขึ้นทันที พร้อมทั้งรีบโค้งทำความเคารพอย่างนอบน้อมให้กับบรรพชนเทพสูงสุดฝ่ายตน

“ คารวะ มหาเทพบิดร อิซานางิ !! ”

“ น้อมพบ มหาเทพสูงสุด อามอน รา !! ”

หนึ่งคือบุรุษวัยกลางคนไว้หนวดเครายาวสีดำ สวมชุดเกราะสงครามโบราณ ถือง้าวนภานั่งอยู่บนบัลลังก์เมฆน่าเกรงขาม

ส่วนอีกหนึ่งคือ บุรุษร่างกายกำยำมีศีรษะเป็นนกเหยี่ยว สวมชุดเกราะสีทองเปล่งประกายเจิดจ้า ยืนอยู่บนแท่นบัญชาการเรือรบสุริยัน โดยมีราชันเทพสามองค์ที่อยู่ระดับเดียวกับเทพโอซีริสยืนรอรับคำสั่งอยู่เบื้องหลัง

นี่คือสองตัวตนในตำนาน ซึ่งเคยกวาดพิชิตแดนสวรรค์แต่ละยุคแต่ละสมัยเมื่อหลายแสนปีก่อน เช่นเดียวกับบรรพชนมังกรทองของวังสวรรค์ มหาเทพอูรานอสของภูเขาโอลิมปัส และมหาเทพบูรีของราชวงศ์เทพแอสการ์ด

ดูเหมือน…มหาสงครามเทพมารที่จะตัดสินชะตากรรมของทั้งจักรวาลกำลังจะปะทุขึ้นอีกครั้ง

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน