เจาะมิติพลิกชีวิตแม่หญิงชาวบ้าน นิยาย บท 39

กู้หมิงซวงถูกซูเหิงจิ่งฉุดดึงให้ลุกยืนขึ้น สูดหายใจเข้าแล้วจึงส่ายหน้าเอ่ย “ฮูหยินเฒ่ามิต้องเกรงใจเจ้าค่ะ ดีที่วันนี้ข้าเจอเข้าพอดี แต่ว่า ท่านป่วยเป็นโรคหัวใจ ต่อไปต้องระวังเรื่องอาหารการกินให้มากๆนะเจ้าคะ”

“หมอเทวดา ว่าอย่างไรนะเจ้าคะ?” ชิงหยูนเอ่ยถามอย่างร้อนใจ

“เลี่ยงทานเนื้อติดมันกับไข่ อย่าได้อารมณ์ฉุนเฉียวขึ้นๆลงๆ ถ้าจะให้ดีนั้นก็หมั่นแช่น้ำอุ่นบ่อยๆ แต่ก็ จำเอาไว้ว่าหลังจากแช่น้ำอุ่นแล้วห้ามนวดตัวนะเจ้าคะ……”

เมื่อเห็นว่าสาวใช้ขมวดคิ้วงวยงง กู้หมิงซวงจึงหันไปที่แผงขายของขอยืมกระดาษกับด้ามหมึกมา แล้วจดคำแนะนำลงไปทีละข้อ

แต่ทว่า นางไม่เคยใช้ด้ามหมึกเช่นนี้มาก่อน ลายมือจึงออกมาไม่ค่อยเข้าตาสักเท่าไหร่

เหล่าไท่ไท่รับเอาเทียบมา แล้วเพ่งอ่านลายมือไก่เขี่ยนั่นอยู่นาน ที่ปลายหางตาก็เผยอารมณ์นึกขันขึ้น แล้วพยักหน้าอย่างเมตตาเอ่ย “ข้าล้วนจำเอาไว้แล้ว ขอบใจหมอเทวดามาก”

“หากมิมีเรื่องอันใดแล้ว ข้าขอตัวนะเจ้าคะ”

กู้หมิงซวงแบกเอาตะกร้าไม่ไผ่ขึ้น นางยังต้องรีบกลับไปทำยาเสริมความงามต่ออีก

“หมอเทวดา รอประเดี๋ยวก่อน” เหล่าไท่ไท่คว้ามือของนางไว้ “หมอเทวดาดูเจ้าไม่เหมือนคนในเมืองชิงสือนะ เจ้าคงมาซื้อของจ่ายตลาดใช่หรือไม่ ยามนี้ก็เที่ยงพอดี ไปทานข้าวเที่ยงที่เรือนข้าดีหรือไม่?”

กู้หมิงซวงโบกมือเอ่ย “มิเป็นไรหรอกเจ้าค่ะ ข้ายังมีเรื่องต้องไปทำน่ะ”

เหล่าไท่ไท่ยังมิเคยถูกปฏิเสธจากผู้ใด สายตาจึงเกิดแววประหลาดใจขึ้น จากนั้น จึงมองไปที่ดวงตาของกู้หมิงซวง ก็ยิ่งนึกชื่นชมมากขึ้นไปอีก

“งั้นข้าก็จักไม่ฝืนใจเจ้า” แล้วจึงได้คลำดึงเอาปิ่นสีดำบนมวยผม วางใส่มือให้กู้หมิงซวงแล้วเอ่ย “หากว่าหมอเทวดามีเรื่องอันใด ก็มาหาข้าที่เรือนตระกูลเซียเขตเฉิงตงหนา”

“เรือนตระกูลเซีย?”

ครั้นพอได้ยินคำนี้ เหล่าผู้คนที่อยู่รอบข้างต่างพากันตกตะลึง เรือนตระกูลเซียชื่อเสียงเกรียงไกรผู้ใดจะไม่รู้จัก นั่นเป็นถึงครอบครัวเศรษฐีใหม่ในยามนี้ของเมืองชิงสือเชียว ว่ากันว่า เหล่าไท่ไท่ของตระกูลเซียนั้นมีเส้นสายมากมายกับทางการ

หรือว่าจะเป็น ท่านผู้นี้งั้นหรือ?

ทันใดนั้น บรรยากาศซุบซิบในที่นั้นก็พลันเปลี่ยนไป

เหล่าผู้คนต่างพากันมองเหล่าไท่ไท่ด้วยสายตาที่ทั้งเคารพและเกรงขาม อีกทั้งยังเสียดายภายหลัง หากว่าเมื่อครู่รู้จักว่าเป็นเหล่าไท่ไท่ พวกเขาจักต้องรีบยื่นมือเข้าช่วยเป็นแน่ ใยจึงได้ปล่อยให้อีอ้วนนี้แย่งเอาความดีความชอบไปเสียได้

น่าเสียดาย บัดนี้ก็สายเกินไปเสียแล้ว

กู้หมิงซวงเองก็ประหลาดใจอยู่เล็กน้อยเช่นกัน

บนกายเหล่าไท่ไท่ผู้นี้นุ่งห่มผ้าแพรอันประณีตงดงามยิ่ง เพียงแค่ชุดผ้าแพรผืนเดียวก็เปรียบได้กับค่าแรงทั้งปีของเหล่าชาวบ้านชนบทเลยทีเดียวเชียว ข้างกายยังมีสาวใช้ติดตามอีกผู้หนึ่ง

แม้นว่านางจะมองออกแต่แรกแล้วว่า อีกฝ่ายนั้นฐานะไม่ธรรมดา ทว่าก็นึกไม่ถึงว่าจะเป็นถึงเหล่าไท่ไท่แห่งเรือนตระกูลเซีย

“บังเอิญเสียจริงเจ้าค่ะ”

“อย่างไรหรือ?”

กู้หมิงซวงจึงเอ่ยขึ้น “เมื่อไม่กี่วันก่อนข้าก็เพิ่งไปขายงูกะปะที่จวนตระกูลเซียมาน่ะเจ้าค่ะ”

เหล่าไท่ไท่ตะลึงไปครู่หนึ่ง นึกถึงอาหารสองอย่างนั้นบนโต๊ะเมื่อไม่กี่วันก่อน แล้วพลันหัวเราะขึ้น

“ที่แท้เป็นเจ้านี่เองหรือ……”

ยามนั้น ตอนที่พ่อบ้านยกงูกะปะมาขอรางวัลนั้น ยังทำเอาแม่นางน้อยเซียที่อยู่ข้างๆตกใจแทบแย่แน่ะ

เซียเหล่าไท่ไท่คาดไม่ถึงเลย งูกะปะแท้จริงคือกู้หมิงซวงที่อยู่ตรงหน้าเป็นคนเอามา

“แม่เด็กดี ช่างมีวาสนาต่อกันเสียจริง เจ้ามีนามว่าอันใดหรือ?”

กู้หมิงซวงก็มิดัดจริต รีบเปิดเผยชื่อตนบอกออกไปอย่างสง่าผ่าเผย อย่างไรเสีย ตระกูลเซียก็มีฐานะไม่ธรรมดาในเมืองชิงสือ ได้ผูกไมตรีกับพวกเขา ภายหน้าจักทำการใดในเมืองชิงสือก็จักสะดวกสบายขึ้น

แต่ว่า เรื่องชวนทานข้าวก็ช่างก่อนเถิด

หลังจากบอกนามแล้ว กู้หมิงซวงก็พาซูเหิงจิ่งขอตัวลาจากไป

เซียเหล่าไท่ไท่มองดูแผ่นหลังของกู้หมิงซวงจากไปแล้ว ผ่านไปได้ขณะหนึ่งจึงเอ่ยขึ้น “เรื่องในวันนี้อย่าให้โม่เอ๋อร์รู้เข้านะ หากว่าเขาถามขึ้นมา เจ้าก็บอกว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด แต่ว่าหมอเทวดาเมื่อครู่ท่านนั้น เจ้าให้โม่เอ๋อร์ไปสืบมาหน่อย ดูซิว่าใช่คนเมืองชิงสือหรือไม่”

“เจ้าค่ะ” ชิงหยูนพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม แล้วเอ่ยขึ้นอย่างชื่นชม “เมื่อตะกี้หมอเทวดาท่านนั้น ช่างเก่งกาจเสียจริงนะเจ้าคะ จะว่าไปแล้ว อายุนางคงจะราวๆกับคุณหนูเซียหลิงหยูนเลยนะเจ้านะ”

กล่าวถึงเซียหลิงหยูนแล้ว สีหน้าของเซียเหล่าไท่ไท่พลันเปลี่ยนไป

อายุไม่ต่างกันมาก แต่ความประพฤติศีลธรรมกับห่างกันไกลยิ่ง

……

อีกด้านหนึ่ง พอกู้หมิงซวงพาซูเหิงจิ่งออกมาไกลแล้ว

ซูเหิงจิ่งจึงเลิกคิ้วถาม “เมื่อตะกี้ เซียเหล่าไท่ไท่เชิญเจ้าไปทานข้าวด้วย ใยเจ้าจึงไม่ไปหรือ?”

“ข้ามิได้โง่เสียหน่อย ตระกูลเซียเป็นถึงเรือนผู้รากมากดี แต่ข้าเป็นเพียงแค่คนบ้านนอกคอกนา เซียเหล่าไท่ไท่ใจดีไม่ถือสา แต่คนอื่นในเรือนตระกูลเซียอาจจะรังเกียจข้าก็ได้ แล้วใยข้าถึงต้องหน้าด้านหน้าทนไปทานข้าวด้วย ติดหนี้บุญคุณช่วยชีวิตไว้เช่นตอนนี้ ก็มิใช่ออกจะดีหรอกหรือ?”

ครั้นฟังนางพูดจบ ซูเหิงจิ่งก็หัวเราะขึ้นเบาๆ

กู้หมิงซวงได้ยินเขาหัวเราะเป็นครั้ง จึงรีบหันไปมองในทันใด สบตาเข้ากับซูเหิงจิ่ง จึงได้เห็นดวงตาดุจบ่อน้ำลึกคู่นั้น เปล่งประกายราวแสงดวงดาวแพรวพราว งดงามยิ่งกว่าหมู่ดาวยามค่ำคืนเสียอีก

กู้หมิงซวงมองจนตะลึงไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ย “พี่จิ่ง ต่อไปท่านยิ้มบ่อยๆหนา……”

“อืม?” ชายหนุ่มพยักหน้า นัยน์ตาคู่เว้าลึกสบเข้าที่ใบหน้าของนาง

กู้หมิงซวงเพิ่งรู้ตัวขึ้นได้ว่าตนเสียการควบคุม จึงพลันรีบหันหน้ากลับ เปลี่ยนคำเอ่ย “เปล่าน่ะ ข้าหมายถึงว่าเจ้าขำอันใดกัน?”

“ข้าขำเจ้าดูหน้าตาใสซื่อ แต่ที่แท้กลับเป็นนางจิ้งจอกน้อย……”

ซูเหิงจิ่งชะงักคำพูด แล้วมองขึ้นมองลงที่กู้หมิงซวงหนึ่งรอบ พลันรีบเปลี่ยนคำพูด “ไม่ถูกหนิ แต่เป็นนางจิ้งจอกน้อยตัวอ้วนเสียด้วย”

ตัวอ้วน จิ้งจอกน้อยตัวอ้วน?!

กู้หมิงซวงเดิมทีในใจยังนึกปลื้มปีติ แต่พอได้ยินประโยคหลังนั้น นางแทบจะกระอักเลือดออกมา รู้สึกราวมีสายฟ้าคำรามอยู่บนหัว และถูกสายฟ้าฟาดลงมาทั้งตัวทันใด

นางเบือนหน้ากลับแล้วรีบวิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว

ไม่ได้ ไม่ได้ นางจะต้องลดความอ้วนจริงจังแล้ว!

นางหาได้ใช่จิ้งจอกอ้วนเสียหน่อย!

ซูเหิงจิ่ง เจ้ามันสมควรตายจริงๆ!

หารู้ไม่ ชายหนุ่มเมื่อมองดูกู้หมิงซวงวิ่งหนีอย่างร้อนรนว้าวุ่น นัยน์ตาพลันเกิดประกายรอยยิ้มขึ้นทันใด

แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่เขาก็เลี่ยงที่จะยอมรับมิได้ ในความเจ้าเล่ห์ของจิ้งจอกน้อยกลับแฝงไปด้วยความน่ารักอยู่บางส่วน ราวกับว่าเย้ายวนหัวใจของเขาอยู่หน่อยๆ

เมื่อซูเหิงจิ่งสะกิดใจเช่นนี้ กู้หมิงซวงยามนั่งทานแกงซุปหมูหยองอยู่ในร้านนั้น ก็กลั้นใจบังคับตัวเองให้ทานน้อยลง

บะหมี่หมูหยองนั้นถือเป็นของกินขึ้นชื่อแห่งเมืองชิงสือ ชามละหกอีแปะ ข้างในประกอบไปด้วยเส้นบะหมี่ขาวๆอวบๆและหมูเส้นอันน่าเย้ายวนใจ เพียงซดกินหนึ่งคำ ก็ทำคนติดใจรสชาติยากลืมเลือน

วันนี้หาเงินมาได้สามตำลึง กู้หมิงซวงจึงสั่งมาสองชาม ทั้งยังสั่งไข่ดาวเพิ่มให้ซูเหิงจิ่งอีก

อย่างไรเสีย คนที่ลงแรงไปเยอะจริงๆนั้นก็คือซูเหิงจิ่ง

ขณะที่ทั้งสองกำลังนั่งทานอยู่นั้น พอกู้หมิงซวงวางตะเกียบลงก็สังเกตเห็นว่า บนถนนมีชายสองคนกำลังด้อมๆมองๆมาทางพวกเขาทั้งอยู่

ชายสองคนนั้นมองดูคุ้นตายิ่ง ทว่ากู้หมิงซวงกลับนึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหนมาก่อน

“นั่นเป็นลูกน้องของหลิ่วอู่เยี่ย” ซูเหิงจิ่งเอ่ยเตือนเบาๆ

“ที่แท้ก็เป็นพวกนั้นเองหรอ”

กู้หมิงซวงพลางนึกขึ้นได้ นางคาดว่าเมื่อก่อนเคยมีเรื่องกับหลิ่วอู่เยี่ย บัดนี้พวกเขาเลยจะมาแก้แค้นเป็นแน่

เมื่อเห็นว่าซูเหิงจิ่งยังเหลือวุ้นเส้นอีกครึ่งชาม กู้หมิงซวงก็หลิ่วตาแล้วเอ่ย “ไม่ต้องรีบ เจ้าค่อยๆทานนะ”

นางชักใคร่อยากรู้ว่าพวกนักเลงเหล่านี้คิดจะทำอันใดกัน!

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจาะมิติพลิกชีวิตแม่หญิงชาวบ้าน