เจาะมิติพลิกชีวิตแม่หญิงชาวบ้าน นิยาย บท 40

นักเลงพวกนั้นนึกยังไม่รู้ตัวว่ากู้หมิงซวงจับได้แล้ว ยังทำเป็นด้อมๆมองๆอยู่ตรงถนนต่อไป ครั้นแน่ใจแล้ว่าทั้งสองคือคนที่พวกเขาต้องการตามหา จึงได้กลับไปรายงานให้หลิ่วอู่เยี่ยทราบทันที

“อู่เยี่ย หาพวกมันเจอแล้วขอรับ กำลังอยู่ตรงร้านบะหมี่ข้างทางนั่น”

“มั่นใจว่าเป็นอีอ้วนนั่นไม่ผิดแน่นะ?”

“มิผิดแน่ขอรับ”

ในเมืองชิงสือนี้มีคนอ้วนคล้ายกู้หมิงซวงอยู่ไม่กี่คน อีกทั้งซูเหิงจิ่งร่างสูงโปร่งแข็งแรงที่อยู่ข้างกายนั่นอีก ใครๆมองแวบเดียวก็จำคนคู่นี้ได้ทันที

“หนอยแน่ะ ต่อยตีข้าไว้ถึงขนาดนี้แลัวยังกล้าเข้าเมืองชิงสือมาอีกรึ”

หลิ่วอู่เยี่ยกัดฟัน ใบหน้าฝังไปด้วยความเคียดแค้นพลางกุมแขนที่บาดเจ็บ วันนั้นถูกซูเหิงจิ่งบิดเข้าให้ แขนข้างนี้จึงถูกบิดเสียจนกระดูกหัก

เมื่อช่วงหลายวันมานี้หลิ่วอู่เยี่ยเจ็บปวดแทบขาดใจ ทั้งเจ็บทั้งนึกอยากแก้แค้นอยู่ตลอด

แม้กระทั่งยามหลับฝัน เขายังนึกอยากฟันแขนของกู้หมิงซวงกับซูเหิงจิ่งให้ขาดไปสักรอบเพื่อระบายความแค้น

“อู่เยี่ยท่านเป็นอย่างไรบ้าง พวกเขาบุกไปกันประเดี๋ยวนี้เลย ไปซัดพวกมันให้ยับเยินน่วมลงกับพื้นกันเถอะขอรับ”

“เอ็งโง่เป็นหมูหรือไงนี่?” หลิ่วอู่เยี่ยตบเข้าให้หนึ่งฉาด “รอบก่อนก็เอาชนะพวกมันไม่ได้ เอ็งว่าครานี้จะสู้ไหวงั้นรึ?”

“งั้นเอาอย่างไรดีหรือขอรับ หรือจะไปขอให้นายท่านเกามาช่วย?”

“เจ้าว่าท่านอาเขยข้าว่างมากนักหรือ?” เหลือบมองที่ลูกน้อง แล้วหลิ่วอู่เยี่ยจึงลูบหนวดที่อยู่ตรงมุมปาก ก่อนเอ่ยอย่างเย็นชา “ข้าได้หาผู้ช่วยไว้แต่แรกแล้ว อีกสองวันรอเฉินซานกลับจากต่างเมือง ข้าจะเอาพวกมันให้ตายไปเลย”

หากว่ากู้หมิงซวงได้ยินชื่อของเฉินซานนั้น นางจักต้องประหลาดใจมากเป็นแน่

เพราะว่า กู้หยวนเต้าก็เคยถูกเฉินซานทำร้ายมาก่อน

เฉินซานเป็นอันธพาลขึ้นชื่อประจำถิ่น มีพลังเยอะราวกับวัว เพียงหนึ่งหมัดก็ล้มคนจนเป็นอัมพาตได้ ผู้คนต่างเรียกขานเขาอย่างยำเกรงว่าท่านเฉิน เขาไม่สรรหาเงินทอง ไม่สรรหาอำนาจ แต่กลับสนใจแต่เพียงนารี

เพื่อเอาใจเขา หลิ่วอู่เยี่ยสิ้นเปลืองกำลังคนไปไม่น้อย เพื่อสรรหาสาวน้อยโฉมสคราญอรชรส่งไปให้เขา

หลิ่วอู่เยี่ยกำหมัดแน่นข่มความแค้นในใจตน ทนรอโอกาสทองวันนั้นมาถึง

เขาคาดว่ากู้หมิงซวงจักต้องเข้าเมืองชิงสือมาอีกเป็นแน่

ในร้านบะหมี่ กระทั่งซูเหิงจิ่งทานเสร็จแล้ว กู้หมิงซวงก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของหลิ่วอู่เยี่ยปรากฏขึ้น

จึงพลันขมวดคิ้วเอ่ย “แปลกจริง พวกเขาไม่ใช่ว่าจะพากันมาแก้แค้นมิใช่หรือ?”

ซูเหิงจิ่งเอ่ยตอบไป “ลองไปหาพวกเขาดูไหมล่ะ”

“ช่างเถิด” กู้หมิงซวงส่ายหัว ในเมื่อพวกหลิ่วอู่เยี่ยไม่ได้มา นางก็คร้านจะแกว่งเท้าหาเสี้ยน

ครั้นพอควักกระเป๋าออกมาจ่ายเงินเสร็จ กู้หมิงซวงกับซูเหิงจิ่งก็ออกจากร้านบะหมี่ไปพร้อมกัน

ระหว่างทาง ทั้งสองคนต่างผ่อนคลายสบายใจ กู้หมิงซวงไม่อยากนั่งเกวียนวัว จึงกล่าวทักทายลุงเสียง แล้วถือเอาปลาตะปูกับเรือนไป

เดินไปมาบ่อยๆ เนื้ออ้วนๆจะได้ลดลงไวๆ

หลังกลับถึงบ้านกู้หมิงซวงก็นำเงินที่ได้จากการขายหมูป่ายื่นให้นางเฉา คาดไม่ถึง นางเฉาไม่เพียงแต่ไม่ยอมรับไว้ แต่ยังจะนำเงินที่เก็บไว้ก่อนหน้านี้อีกสองตำลึงให้กู้หมิงซวงอีก

“ซวงเอ๋อร์ เงินนี่เจ้าเอาเก็บไว้เองเสียเถิด แม่กลัวจะรักษาเงินเหล่านี้ไว้ไม่ได้……”นางเฉาเอ่ยด้วยสีหน้าลำบากใจ

กู้หมิงซวงครุ่นคิดไตร่ตรองดู จึงได้เข้าใจแล้วว่า ด้วยอุปนิสัยที่เป็นคนใจอ่อนอย่างแม่ของตน หากว่าผู้เป็นย่าเข้ามาขอเงินเอาไป นางคงอดปฏิเสธไม่ได้

“ก็ได้ งั้นสองตำลึงนี้ท่านเก็บไว้ก่อนนะ หากใช้หมดแล้วค่อยมาขอกับข้าอีกทีนะเจ้าคะ”

กู้หมิงซวงครั้นกลับถึงห้องแล้วจึงนำเงินสามตำลึงนั้นเก็บไว้ในกล่องเครื่องประดับ เอาไปวางไว้ในหลืบเล็กๆ แล้วจึงออกไปที่ลานบ้าน เทปลาตะปูทั้งหมดที่ซื้อมาใส่ลงในถังไม้

“ท่านแม่ ท่านชำแหละปลาตะปูเหล่านี้ทีหนา ข้าจักไปผัดเครื่องเทศ”

“ซวงเอ๋อร์ เจ้าซื้อปลาตะปูมาทำอันใดเยอะขนาดนี้กัน?”

“มีประโยชน์แน่เจ้าค่ะ!”

กู้หมิงซวงส่งสายตาแฝงความในไปหานางเฉา แล้วจึงเข้าครัวไป ซูเหิงจิ่งก็ตามนางเข้าไปในครัวด้วยเช่นกัน

“ให้ข้าช่วยอันใดไหม?” ชายหนุ่มเลิกคิ้ว

“เจ้าช่วยก่อไฟให้ข้าก็แล้วกัน”

กู้หมิงซวงครั้นเตรียมวัตถุดิบพร้อมแล้ว ก็หยิบเอาขวดน้ำมันออกมา เทลงกระทะไปตั้งครึ่งหนึ่ง หากนางเฉามาเห็นภาพนี้เข้าล่ะก็ จะต้องตกใจรับไม่ได้เป็นแน่

อย่างไรเสียในหมู่บ้านต้าเฉียวแห่งนี้ มีครัวใดไม่ประหยัดใช้น้ำมันบ้าง อาหารหนึ่งอย่างใช้น้ำมันเพียงหนึ่งหยดก็นับว่าฟุ่มเฟือยมากแล้ว

อย่างเช่นเวลานางเฉาใช้น้ำมัน ก็ทำใจใช้ได้เพียงหยดสองหยดเท่านั้น

กู้หมิงซวงเทเอาอย่างสมอกสมใจ เทไปตั้งครึ่งขวด

นั่นก็ไร้หนทาง ปลาเผ็ดที่นางจะทำนั้น สิ่งหลักๆที่ขาดไม่ได้เลยก็คือน้ำมัน หากใส่น้ำมันไม่มากพอ ก็จะไม่เอร็ดอร่อยเสียแล้ว

รอจนครั้นน้ำมันเดือด กู้หมิงซวงก็ใส่หัวหอม ขิง กระเทียม ที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ลงไป เครื่องเทศเมื่อผัดเข้ากันได้ไม่นาน ก็พลันส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลเย้ายวนใจคนออกมาจากในครัว

ครั้นเตะจมูกกู้เสี่ยวซานเข้า ก็รีบวิ่งเข้ามาดูในครัวทันที

“ท่านพี่หญิง ท่านกำลังทำของอร่อยอันใดอยู่หรือขอรับ?”

“ปลาเผ็ดน่ะ อยากกินไหม?”

“อยากสิขอรับ”

“อยากกินก็ต้องไปช่วยทำงาน”

กู้เสี่ยวซานถือเอามีดหนึ่งดวง แล้วก็ไปช่วยนางเฉาชำแหละปลา

ปลาตะปูนั้นชำแหละยาก คนทั้งเรือนมาช่วยกันทำใช้เวลาไปหนึ่งชั่วโมงจึงเสร็จ ประจวบเหมาะกับเครื่องเทศในครัวก็เริ่มผัดได้ที่แล้ว

กู้หมิงซวงก็นำเอาปลาตะปูเหล่านั้นเข้าไปในครัว รอให้สะเด็ดน้ำแล้วจึงใส่ลงในกระทะ ครั้นเสร็จ กลิ่นหอมหวนของปลาผัดกับเครื่องเทศเผ็ดๆก็ส่งกลิ่นหอมฉุนลอยไปในอากาศ กู้ตงเหมยที่อยู่เรือนข้างๆก็นึกอยากกินจนน้ำตาไหลแล้ว

นางร้องโวยวายอยากจะไปเรือนสาม แต่ก็ถูกกู้เหล่าไท่ไท่รั้งไว้อย่างเอาเป็นเอาตาย

“เจ้าอยากตายหรืออย่างไรกัน? คราก่อนก็ถูกกู้หมิงซวงรังแกเอาไม่พออีกหรือ? นี่เจ้าอยากไปฆ่าตัวตายหรือไงกัน?”

“ท่านแม่ งือ งือ งือ ข้าอยากกิน อยากกินใจจะขาดอยู่แล้ว!”

กู้เหล่าไท่ไท่ก็มิได้ใจแข็งเกินกันไป นางเองก็อยากกินเช่นกัน

แต่อยากกินไปจักมีประโยชน์อันใดกัน?

กู้เอ้อยาไม่มีทางแบ่งให้พวกเขากินเด็ดขาด

“ตงเหมยเอ๋ย เจ้าฟังแม่นะ เจ้าทนไว้ก่อน รอน้องสี่เจ้ากลับมา เราก็จักมีมาคนช่วยแล้ว รอถึงครานั้น เราจะแย่งเอาทุกอย่างในเรือนสามมาให้หมดเลย”

“รวมถึงพ่อรูปหล่อของข้าด้วย ข้าก็จักแย่งมาเช่นกัน”

“ได้สิ”

ว่ากันว่าซูเหิงจิ่งเป็นญาติห่างๆของทางฝั่งนางเฉา กู้เหล่าไท่ไท่ออกจะไม่ชอบหน้าญาติฝั่งนางเฉาอยู่หน่อยๆ แต่กู้ตงเหมยกลับชอบพลอเขา นางจึงได้แค่ตามใจลูกสาวตน

เพราะอย่างไรเสีย กู้ตงเหมยก็อายุจะย่างเข้าสี่สิบแล้วแต่ก็ยังมิได้ออกเรือน……

กู้เหล่าไท่ไท่ชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูด จึงสามารถปลอบใจกู้ตงเหมยลงได้ชั่วขณะ

อีกทางด้านหนึ่ง กู้เสี่ยวซานอยากกินจนจะทนไม่ได้อยู่แล้ว เขารออยู่ใกล้ๆเตา อย่างร้อนรนใจ

กระทั่งกู้หมิงซวงตะโกนขึ้น “เสร็จเรียบร้อยแล้ว!” เขาจึงได้รีบขยับตัวอย่างกระตืนรือร้นไปรับเอาจานอาหารมา

ปลาตะปูกว่าห้าชั่งเมื่อทำเป็นปลาเผ็ดแล้วก็ได้ออกมาเต็มจานสองจาน กู้หมิงซวงชั่งดูก็ได้ประมาณราวๆหนึ่งชั่ง

กู้หมิงซวงได้คำนวณเอาไว้แล้ว หากเอาปลาเผ็ดออกไปวางขายนั้น ก็จะได้เป็นเงินราวๆ หนึ่งตำลึงกับอีกสองอีแปะ

สองอีแปะแม้นเป็นเงินไม่มาก แต่ก็เอามาเก็บเล็กผสมน้อยได้ ชั่งเดียวก็ทำเงินได้เยอะขนาดนี้เชียว

นี่เป็นเพียงความครุ่นคิดของนางเพียงชั่วขณะ ส่วนจะขายได้หรือไม่นั้น ก็ต้องดูก่อนว่าปลาเผ็ดนี่จะรสชาติเป็นยังไง

ครั้นนำปลาเผ็ดตักออกมาหนึ่งจาน กู้หมิงซวงวางลงบนโต๊ะ แล้วเอ่ยขึ้น “พวกท่านลองชิมดูหน่อยสิ รสชาติถูกปากดีหรือไม่?”

กู้เสี่ยวซานอดใจรอไม่ไหว รีบคีบเข้าปากไปชิ้นหนึ่ง เพิ่งชิมไปคำเดียว ดวงตาเขาก็เป็นประกายขึ้น พลันอดไม่ไหวรีบกินคำที่สองเข้าไป

“อร่อย ท่านพี่หญิง อร่อยมากเลยขอรับ ข้ายังไม่เคยได้กินของอร่อยขนาดนี้มาก่อนเลย” กู้เสี่ยวซานเอ่ยตอบอย่างซึ้งใจ

ซูเหิงจิ่งก็คีบกินหนึ่งคำ เอาเข้าปากไปในท่าทางสง่างาม

“เป็นอย่างไร?”

เมื่อถึงตาชายหนุ่มเป็นผู้ตัดสิน กู้หมิงซวงก็ตื่นเต้นขึ้นมานิดหน่อย

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจาะมิติพลิกชีวิตแม่หญิงชาวบ้าน