นักเลงพวกนั้นนึกยังไม่รู้ตัวว่ากู้หมิงซวงจับได้แล้ว ยังทำเป็นด้อมๆมองๆอยู่ตรงถนนต่อไป ครั้นแน่ใจแล้ว่าทั้งสองคือคนที่พวกเขาต้องการตามหา จึงได้กลับไปรายงานให้หลิ่วอู่เยี่ยทราบทันที
“อู่เยี่ย หาพวกมันเจอแล้วขอรับ กำลังอยู่ตรงร้านบะหมี่ข้างทางนั่น”
“มั่นใจว่าเป็นอีอ้วนนั่นไม่ผิดแน่นะ?”
“มิผิดแน่ขอรับ”
ในเมืองชิงสือนี้มีคนอ้วนคล้ายกู้หมิงซวงอยู่ไม่กี่คน อีกทั้งซูเหิงจิ่งร่างสูงโปร่งแข็งแรงที่อยู่ข้างกายนั่นอีก ใครๆมองแวบเดียวก็จำคนคู่นี้ได้ทันที
“หนอยแน่ะ ต่อยตีข้าไว้ถึงขนาดนี้แลัวยังกล้าเข้าเมืองชิงสือมาอีกรึ”
หลิ่วอู่เยี่ยกัดฟัน ใบหน้าฝังไปด้วยความเคียดแค้นพลางกุมแขนที่บาดเจ็บ วันนั้นถูกซูเหิงจิ่งบิดเข้าให้ แขนข้างนี้จึงถูกบิดเสียจนกระดูกหัก
เมื่อช่วงหลายวันมานี้หลิ่วอู่เยี่ยเจ็บปวดแทบขาดใจ ทั้งเจ็บทั้งนึกอยากแก้แค้นอยู่ตลอด
แม้กระทั่งยามหลับฝัน เขายังนึกอยากฟันแขนของกู้หมิงซวงกับซูเหิงจิ่งให้ขาดไปสักรอบเพื่อระบายความแค้น
“อู่เยี่ยท่านเป็นอย่างไรบ้าง พวกเขาบุกไปกันประเดี๋ยวนี้เลย ไปซัดพวกมันให้ยับเยินน่วมลงกับพื้นกันเถอะขอรับ”
“เอ็งโง่เป็นหมูหรือไงนี่?” หลิ่วอู่เยี่ยตบเข้าให้หนึ่งฉาด “รอบก่อนก็เอาชนะพวกมันไม่ได้ เอ็งว่าครานี้จะสู้ไหวงั้นรึ?”
“งั้นเอาอย่างไรดีหรือขอรับ หรือจะไปขอให้นายท่านเกามาช่วย?”
“เจ้าว่าท่านอาเขยข้าว่างมากนักหรือ?” เหลือบมองที่ลูกน้อง แล้วหลิ่วอู่เยี่ยจึงลูบหนวดที่อยู่ตรงมุมปาก ก่อนเอ่ยอย่างเย็นชา “ข้าได้หาผู้ช่วยไว้แต่แรกแล้ว อีกสองวันรอเฉินซานกลับจากต่างเมือง ข้าจะเอาพวกมันให้ตายไปเลย”
หากว่ากู้หมิงซวงได้ยินชื่อของเฉินซานนั้น นางจักต้องประหลาดใจมากเป็นแน่
เพราะว่า กู้หยวนเต้าก็เคยถูกเฉินซานทำร้ายมาก่อน
เฉินซานเป็นอันธพาลขึ้นชื่อประจำถิ่น มีพลังเยอะราวกับวัว เพียงหนึ่งหมัดก็ล้มคนจนเป็นอัมพาตได้ ผู้คนต่างเรียกขานเขาอย่างยำเกรงว่าท่านเฉิน เขาไม่สรรหาเงินทอง ไม่สรรหาอำนาจ แต่กลับสนใจแต่เพียงนารี
เพื่อเอาใจเขา หลิ่วอู่เยี่ยสิ้นเปลืองกำลังคนไปไม่น้อย เพื่อสรรหาสาวน้อยโฉมสคราญอรชรส่งไปให้เขา
หลิ่วอู่เยี่ยกำหมัดแน่นข่มความแค้นในใจตน ทนรอโอกาสทองวันนั้นมาถึง
เขาคาดว่ากู้หมิงซวงจักต้องเข้าเมืองชิงสือมาอีกเป็นแน่
ในร้านบะหมี่ กระทั่งซูเหิงจิ่งทานเสร็จแล้ว กู้หมิงซวงก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของหลิ่วอู่เยี่ยปรากฏขึ้น
จึงพลันขมวดคิ้วเอ่ย “แปลกจริง พวกเขาไม่ใช่ว่าจะพากันมาแก้แค้นมิใช่หรือ?”
ซูเหิงจิ่งเอ่ยตอบไป “ลองไปหาพวกเขาดูไหมล่ะ”
“ช่างเถิด” กู้หมิงซวงส่ายหัว ในเมื่อพวกหลิ่วอู่เยี่ยไม่ได้มา นางก็คร้านจะแกว่งเท้าหาเสี้ยน
ครั้นพอควักกระเป๋าออกมาจ่ายเงินเสร็จ กู้หมิงซวงกับซูเหิงจิ่งก็ออกจากร้านบะหมี่ไปพร้อมกัน
ระหว่างทาง ทั้งสองคนต่างผ่อนคลายสบายใจ กู้หมิงซวงไม่อยากนั่งเกวียนวัว จึงกล่าวทักทายลุงเสียง แล้วถือเอาปลาตะปูกับเรือนไป
เดินไปมาบ่อยๆ เนื้ออ้วนๆจะได้ลดลงไวๆ
หลังกลับถึงบ้านกู้หมิงซวงก็นำเงินที่ได้จากการขายหมูป่ายื่นให้นางเฉา คาดไม่ถึง นางเฉาไม่เพียงแต่ไม่ยอมรับไว้ แต่ยังจะนำเงินที่เก็บไว้ก่อนหน้านี้อีกสองตำลึงให้กู้หมิงซวงอีก
“ซวงเอ๋อร์ เงินนี่เจ้าเอาเก็บไว้เองเสียเถิด แม่กลัวจะรักษาเงินเหล่านี้ไว้ไม่ได้……”นางเฉาเอ่ยด้วยสีหน้าลำบากใจ
กู้หมิงซวงครุ่นคิดไตร่ตรองดู จึงได้เข้าใจแล้วว่า ด้วยอุปนิสัยที่เป็นคนใจอ่อนอย่างแม่ของตน หากว่าผู้เป็นย่าเข้ามาขอเงินเอาไป นางคงอดปฏิเสธไม่ได้
“ก็ได้ งั้นสองตำลึงนี้ท่านเก็บไว้ก่อนนะ หากใช้หมดแล้วค่อยมาขอกับข้าอีกทีนะเจ้าคะ”
กู้หมิงซวงครั้นกลับถึงห้องแล้วจึงนำเงินสามตำลึงนั้นเก็บไว้ในกล่องเครื่องประดับ เอาไปวางไว้ในหลืบเล็กๆ แล้วจึงออกไปที่ลานบ้าน เทปลาตะปูทั้งหมดที่ซื้อมาใส่ลงในถังไม้
“ท่านแม่ ท่านชำแหละปลาตะปูเหล่านี้ทีหนา ข้าจักไปผัดเครื่องเทศ”
“ซวงเอ๋อร์ เจ้าซื้อปลาตะปูมาทำอันใดเยอะขนาดนี้กัน?”
“มีประโยชน์แน่เจ้าค่ะ!”
กู้หมิงซวงส่งสายตาแฝงความในไปหานางเฉา แล้วจึงเข้าครัวไป ซูเหิงจิ่งก็ตามนางเข้าไปในครัวด้วยเช่นกัน
“ให้ข้าช่วยอันใดไหม?” ชายหนุ่มเลิกคิ้ว
“เจ้าช่วยก่อไฟให้ข้าก็แล้วกัน”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจาะมิติพลิกชีวิตแม่หญิงชาวบ้าน
รอจ้าาาา...
ขอทางทีมงานลงต่ด้วยนะคะ...
แอดมินค่ะ จะมีอัพต่ออีกไหมค่ะ ชอบมากเลย รอๆนะค่ะ...
อยากอ่านเรื่องนี้มากกกก ค้างคาใจ แอดมินอีพเดตทีน๊าาา pleaseee...
อยากรู้จัง ซูเหิงจิ่วเป็นใคร แอดมินจ๋าอัพเดตที pleaseeeeee...
เรื่องนี้ก็สนุกมาก รออัพเดตนะค่ะ...
สนุกมากค่ะ รออัพเดตนะคะแอดมิน...
เรื่องนี้สนุกมากเลยค่ะ รออัพเดทนะคะ...
รออัพเดทนะคะ please...
รออัพเดทอยู่นะคะ...