เจาะมิติพลิกชีวิตแม่หญิงชาวบ้าน นิยาย บท 42

หลังกลับจากเขาเสี่ยวลู่มานั้น กู้หมิงซวงก็นำเอาผลบ๊วยดำมาล้างแล้ววางไว้บนกระด้งรอให้แห้ง อีกทั้งยังนำเอาชะเอมเทศ ซานจาแห้ง น้ำตาลกรวดที่ซื้อมาเอาลงไปต้มรวมกันในหม้อ

ก่อนจะต้มด้วยไฟแรง แล้วจึงเคี่ยวด้วยไฟอ่อนอยู่ชั่วโมงหนึ่ง

แกงน้ำบ๊วยเปรี้ยวเปรี้ยวหวานเข้มข้นก็ถือเป็นอันเสร็จ

แกงน้ำบ๊วยเปรี้ยวที่เพิ่งต้มเสร็จเมื่อครู่นั้นร้อนเกินไป กู้หมิงซวงจึงเทแกงน้ำบ๊วยเปรี้ยวลงในถังไม้ แล้วหย่อนเชือกลงไปตรงกลางเพื่อคลายความร้อน

เมื่ออุณหภูมิข้างในต่ำ แกงน้ำบ๊วยเปรี้ยวที่ตักออกมาพรุ่งนี้ก็จะได้เย็นฉ่ำ

ครั้นจัดการเสร็จ นางก็พลันรู้สึกราวกับว่ากระดูกทั่วร่างกำลังจะแหลกสลาย

แต่น่าเสียดาย ในระยะนี้นางมิอาจหยุดพักผ่อนได้ เพราะนางยังมีเรื่องสำคัญต้องไปทำ

คิดค้นแผ่นมาร์คหน้าเสริมความงาม!

ใบหน้าเดิมของร่างนี้ นางดูคราใดก็กระอักกระอ่วนใจครานั้น นางทนไม่ไหวแล้วจริงๆ

พอดีวันนี้นางได้เด็ดเอาว่านหางจระเข้กับเดซี่มาด้วย นำไปโขลกผสมกันแล้วทาหมักทิ้งไว้บนใบหน้า สามารถช่วยบรรเทาสิวอักเสบลงได้

แล้วจึงใส่ว่านหางจระเข้กับเดซี่ลงในครกหิน กู้หมิงซวงลงมือโขลกไปอย่างแรง

ตั้งแต่ซูเหิงจิ่งกลับจากถลกหนังกระต่ายที่ริมแม่น้ำมา ก็ได้จับตาสังเกตดูกู้หมิงซวงอยู่นานสองนาน

ครั้นเมื่อเห็นนางนวดตีที่แขนอย่างเมื่อยล้า ชายหนุ่มก็วางกระต่ายลงแล้วรีบเดินเข้ามา คว้าเอาสากออกไปจากมือของสาวน้อย

“ข้าทำเอง”

“ไม่เป็นหรอก ข้าทำเองได้……”

“ก็ข้าบอกจะทำให้อย่างไรเล่า” แล้วมองนางด้วยความสงสาร หญิงผู้นี้ใยจึงได้ดื้อรั้นถึงเพียงนี้กัน?

ชายหนุ่มแรงเยอะ ตำลงไปหนึ่งทีก็ทำเอาว่านหางจระเข้ทุบจนแหลกเสียแล้ว

ไม่นาน ก็ตำเสร็จ

ซูเหิงจิ่งวางครกหินไว้บนโต๊ะ มิได้กล่าวอันใด ก็หันหลังกลับเข้าไปในครัว

กู้หมิงซวงกระพริบตา มองแผ่นหลังของซูเหิงจิ่ง แล้วรู้สึกขึ้นว่า ในเรือนมีชายไว้ผู้หนึ่ง ก็ถือเป็นเรื่องดีอยู่เหมือนกัน

พลันรีบถอดถอนความคิดกลับ กู้หมิงซวงล้างหน้าด้วยสบู่อย่างสะอาดสะอ้าน แล้วนำสมุนไพรที่โขลกไว้ทาลงบนใบหน้าตน

สิวบนใบหน้านางนั้นมีเยอะแยะเต็มไปหมด ยามทาลงไปนั้นจึงรู้สึกเจ็บแสบขึ้นมา

กู้หมิงซวงกลั้นความเจ็บปวดเอาไว้ หลับตานอนลงบนเก้าอี้รอให้สมุนไพรมาร์คหน้าแห้งลง

บางทีอาจเป็นเพราะความเหนื่อยล้ามากเกินไป หลับตาลงได้ไม่นาน สาวน้อยก็ผล็อยหลับไปซะแล้ว

กระทั่งนางถูกนางเฉาปลุกให้ตื่นขึ้น ท้องฟ้าก็เกือบจะมืดลงแล้ว บนกายตนยังห่มเสื้อคลุมตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นของซูเหิงจิ่ง

“ซวงเอ๋อร์ เจ้าทาอันใดบนใบหน้าหรือ? สีเขียวๆเหลืองๆนั่น”

“นี่เรียกสมุนไพรมาร์คหน้าเจ้าค่ะ ช่วยบำรุงผิวหน้า”

“เป็นเด็กเป็นเล็กก็รู้จักรักสวยรักงามเป็นแล้วหรือ……รีบล้างมือมากินข้าวเถิด”

อาหารเย็นมื้อนี้ก็คือผัดเผ็ดเนื้อกระต่ายฝีมือนางเฉา ทำเอาคนในวงกินข้าวมือไม้สั่นไหวนึกตะกละขึ้นมาพลัน ตั้งแต่กู้หมิงซวงกับซูเหิงจิ่งขึ้นเขาไปล่าหมูป่ามานั้น ในเรือนล้วนไม่เคยขาดแคลนเนื้อนานาชนิด ทุกมื้อกับข้าวล้วนแต่มีเนื้อกินกัน

กู้หมิงซวงเหนื่อยแทบแย่ ครั้นทานข้าวเสร็จก็รีบกลับเข้านอนทันที

วันรุ่งขึ้นเมื่อจะเข้าเมืองไปขายปลาเผ็ดกับแกงน้ำบ๊วยเปรี้ยว กู้เสี่ยวซานก็มิฟังความอันใดรั้นเอาแต่จะไปด้วยให้ได้

“ใยเจ้าต้องตามไปกับข้าด้วย เจ้าขายของไม่เป็นเสียหน่อย”

“ข้าคิดเงินเป็น ท่านพี่หญิง ข้าจักไปคิดเงินให้ท่าน” กู้เสี่ยวซานพูดจาด้วยน้ำเสียงเด็กน้อยเกาะแข้งเกาะขากู้หมิงซวง แล้วเอ่ยออดอ้อนขึ้น “ขอร้องท่านล่ะ ท่านพาข้าไปเถิดหนาขอรับ”

เขาไม่ได้เข้าเมืองเป็นเวลาเนิ่นนานแล้ว อีกอย่าง หากติดตามไป ก็อาจจะได้กินปลาเผ็ดเพิ่มอีกสักหน่อยก็ได้

เมื่อสบเข้ากับดวงตาโตๆคู่สีดำสนิทนั้น กู้หมิงซวงก็นึกใจอ่อนลงทันที

“ก็ได้ แต่ข้าขอเตือนเจ้าก่อนนะ เจ้าห้ามวิ่งไปทั่วเด็ดขาด ระวังจะถูกคนชั่วลักตัวไป”

“โอ้ ดีจังเลยขอรับ”

……

มีของมากมายที่ต้องนำไปเขตตงซี กู้หมิงซวงจึงไปขอยืมรถลากคันเก่าๆที่เรือนลุงเสียง แล้วทั้งสองจึงได้วางแกงน้ำบ๊วยเปรี้ยวกับปลาเผ็ดใส่ลงในรถลาก ทั้งยังมีน้ำสะอาดหนึ่งถัง ช้อนตะเกียบถ้วยชาม รวมถึงกู้เสี่ยวซาน ครั้นจะลากเข้าเมืองไป

รถลากคันนี้มีน้ำหนักราวๆสองถึงสามร้อยชั่งได้ กู้หมิงซวงออกแรงเข็นอย่างไรก็ไม่ไป

แต่ซูเหิงจิ่งกลับเข็นไปอย่างเบาสบาย แถมยังสาวเท้าเดินว่องไวกว่านางเสียอีก

ครานี้ กู้หมิงซวงไม่ได้ไปตลาดเหมือนอย่างเคย แต่กลับไปขายที่ถนนรื่นเริงแห่งหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นบ่อนพนัน โรงเหล้า หอโสเภณีต่างก็มาตั้งอยู่รวมกันณ ถนนแห่งนี้

ที่ตลาดผู้คนต่างไปซื้อผักปลาอาหารทำกิน น้อยนักที่จักมีใครควักเงินสองอีแปะทองแดงออกมาซื้อของขบเคี้ยวเล่น แต่มาขายที่นี่นั้นไม่เหมือนกัน

ออกมาขายได้ไม่นานนัก ก็กลายเป็นคนมีเงินมีทองขึ้นมาหน่อยๆแล้ว

ครั้นพอจอดรถลงตรงหัวมุมถนนอันครึกครื้น กู้หมิงซวงก็จัดวางปลาเผ็ดออกมาสองชาม แล้วจึงเริ่มตะโกนเรียก

“ปลาเผ็ด ปลาเผ็ดสดๆใหม่ๆจ้า เผ็ดอร่อยถูกปาก สองอีแปะถูกๆ ลองซื้อไปไม่เสียเปรียบไม่ขาดทุนจ้า……”

กู้เสี่ยวซานเลียนแบบดูบ้าง ร้องเรียกขึ้นตามท่านพี่หญิงของเขา

“แกงน้ำบ๊วยเปรี้ยว แกงน้ำบ๊วยเปรี้ยวเปรี้ยวๆหวานๆ ชามละสองอีแปะขอรับ……”

คนบนถนนไม่ทันใดก็ถูกเสียงเด็กน้อยของกู้เสี่ยวซานดูดใจเข้าให้แล้ว ต่างพากันเข้ามาถาม “ปลาเผ็ดนี่ขายยังไงหรือ?”

“ชามละสองอีแปะจ้า”

“กลิ่นนี่หอมเตะจมูกดีหนา แต่ไม่รู้ว่าจักอร่อยหรือไม่”

กู้หมิงซวงก็ยิ้มแย้มแจ่มใส ใจกว้างยกชามขึ้นมาเอ่ย “รสอร่อยหรือไม่ ลองชิมดูก็รู้ ชิมได้ไม่ต้องจ่ายเงินเจ้าค่ะ ท่านลองดูสิ”

ครั้นพอได้ยินว่าชิมได้ไม่เสียเงิน ผู้คนก็พากันหลั่งไหลเข้ามาเยอะขึ้น

แต่ละคนก็หยิบปลาเผ็ดเข้าปากชิม ไม่ชิมไม่รู้ เมื่อรู้แล้วพลันประหลาดใจ ในโลกนี้ยังมีของรสเลิศเช่นนี้ด้วยหรือ เผ็ดจนทำคนน้ำลายไหล แต่รสชาติอร่อยติดปาก กินคำแรก ก็อดไม่อยู่ต้องรีบกินคำที่สอง

“แม่นางน้อย เอาปลาเผ็ดมาให้ข้าชุดหนึ่ง”

“แม่นางน้อยข้าเอาสองชุดเลย!”

“……”

แต่ละคนต่างพากันส่งเหรียญทองแดงให้มา อย่างไรเสีย มันก็แค่สองอีแปะถูกๆ ก็ดูพอจะคุ้มค่าซื้อดับความอยากอยู่บ้าง

โชคดีที่กู้หมิงซวงพากู้เสี่ยวซานมาด้วย มิเช่นนั้น นางคงทั้งเก็บเงิน ทั้งจัดอาหาร ยุ่งหัวหมุนเป็นแน่

อย่ามองว่ากู้เสี่ยวซานยังเด็ก แต่เขาคล่องแคล่วเรื่องเงินเป็นยิ่งนัก คิดเงินไปตั้งนานพักหนึ่งยังไม่เคยคิดผิด

เมื่อถึงยามที่แต่ละคนกินปลาเผ็ดเสร็จ เผ็ดจนเหงื่อผุด ทั้งเผ็ดทั้งเพลิดเพลินยามนั้น กู้หมิงซวงก็ได้ถือโอกาสเปิดตัวแกงน้ำบ๊วยเปรี้ยวของตนออกมา

“แกงน้ำบ๊วยเปรี้ยว ซวนเหมยต้มหรือ?”

“บ๊วยดำน่ะ”

“บ๊วยดำคือสิ่งใดหรือ” คนเอ่ยถามอย่างแปลกใจ

“ท่านชิมดูก็รู้แล้ว” กู้หมิงซวงเปิดผ้าบนถังไม้ออก ทันใดกลิ่นเปรี้ยวหวานของผลไม้ก็พลันหอมโชยออกมา ผู้คนต่างอดใจไม่ไหว สั่งแกงน้ำบ๊วยเปรี้ยวกันคนละชาม

อย่างไรเสีย สองอีแปะก็ไม่ได้มากมาย

แกงน้ำบ๊วยเปรี้ยวอันเย็นฉ่ำ พอตักเข้าปากไปก็ช่วยบรรเทาความเผ็ดของปลาเผ็ดให้ลดลงไป ความรู้สึกเช่นนี้ มิมีสิ่งใดจะเทียบเทียมได้เลย

อีกฝ่ายนั้นควักเอาเหรียญอีแปะทองแดงออกมาอีกรอบ เอ่ยขึ้น“เอามาอีกสองชาม ข้าจะเอากลับบ้านไปให้สะใภ้ข้าชิมดูหน่อย”

“ท่านนี่ช่างรักถนอมสะใภ้ตนเสียจริงหนา” กู้หมิงซวงพลางตักอีกสองชามอย่างคล่องแคล่ว

“สามีเจ้าก็ถนอมเจ้าเช่นกันมิใช่หรือ ข้าเห็นเขายืนกางร่มให้เจ้าอยู่ด้านหลังตลอดเลยหนา”

วันนี้แดดร้อนจัด ซูเหิงจิ่งเป็นห่วงว่ากู้หมิงซวงจะร้อนแดดเผา เขาจึงเข้าร้านไปซื้อร่มกระดาษมาหนึ่งคัน แล้วยืนกางร่มให้นางอยู่ข้างหลังมาโดยตลอด

กู้หมิงซวงถูกคนอื่นทักว่าเป็นสามีภรรยากัน นางก็เขินอายจนหน้าแดงขึ้นนิดหน่อย

ครั้นอยากจะเอ่ยปากอธิบาย ผู้คนก็ต่างพากันหลั่งไหลเข้ามาสั่งแกงน้ำบ๊วยเปรี้ยวกันไม่หยุดหย่อน นางจึงไม่มีโอกาสได้เอ่ยอธิบาย ทำได้แค่ยอมๆไปก่อน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจาะมิติพลิกชีวิตแม่หญิงชาวบ้าน