เสน่ห์เหลือร้ายของคุณนายตระกูลเฉิน นิยาย บท 28

หลังจากเฉินลู่พูดจบ เขาก้มศีรษะลงเล็กน้อยและกัดเธอ ไหปลาร้าไม่รู้สึกเจ็บปวด รู้สึกเพียงแค่ชาเล็กน้อย

มือทั้งสองข้างของเขาโอบรัดรอบเอวเธอไว้แน่น เธอแทบจะไม่สามารถขยับร่างกายได้

"เฉินลู่ นายตั้งสติหน่อย ฉันคือสวีซุ่ยหนิง" สวีซุ่ยหนิงเอ่ย "หากว่านายนอนกับฉัน ฉันจะฟ้องแม่ของนาย เมื่อถึงเวลานั้นนายจะต้องแต่งงานกับฉัน นั่นมันไม่ดีเอาซะเลย หากว่านายอยากได้ผู้หญิงสวยๆ ด้านนอกยังมีนะ"

เขาชะงักไปชั่วขณะ สายตาของเขาก้มมองลงไปด้านล่าง เขากระชากคอเสื้อ บีบเค้นแครนเบอร์รีน้อย

นัยต์ตาของเขาเย็นชามาก ทว่าเรื่องที่เขาทำนั้นราวกับไม่ใช่คน

สวีซุ่ยหนิงรู้สึกเวียนศีรษะ หญิงสาวเมื่อได้รับอันตราย พวกเธอจะปกป้องตนเองโดยสัญชาตญาณ โดยไม่ได้คิด เธอยกฝ่ามือขึ้นแล้วฟาดลงบนใบหน้าของเขา

ดวงตาของเฉินลู่เย็นยะเยือกยิ่งกว่าเก่า

หากคนอื่นดื่มจนเมามายสติคงพร่าเลือน เขากลับตรงกันข้าม เขาดูรุนแรงมากยิ่งขึ้น เขาหรี่สายตา ทำให้ผู้คนรู้สึกตื่นตระหนก

สวีซุ่ยหนิงตัวสั่นเทา หวั่นเกรงว่าจะยั่วยุโทสะเขา ตามความฉลาดทางสติปัญญาของเขา เมื่อเขาจัดการเธอแล้ว ไม่แน่ว่าเขาอาจจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างลอยนวล เธอเอ่ยด้วยดวงตาที่แดงก่ำ "นายบีบบังคับฉัน"

เฉินลู่ยิ้มเยือกเย็น เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ "ไม่มีใครเคยกล้าลงมือกับฉัน ถ้าเธอไม่ให้ฉันเข้าไปในวันนี้ เกรงว่าเรื่องนี้คงไม่อาจมองข้ามไปได้"

"เฉินลู่ นายบ้าไปแล้ว" สวีซุ่ยหนิงรู้สึกกลัวและอดไม่ได้ที่จะก่นด่าเขา

เขาปลดเข็มขัดอย่างเย็นชา สวีซุ่ยหนิงได้ยินเสียง หัวใจเธอเต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง เขาอุ้มเธอขึ้นและหมุนร่างกายของเธอ จากนั้นเธอตกอยู่ภายใต้เรือนร่างของเขา เฉินลู่เปลื้องเสื้อผ้าของเธอออกอย่างชำนาญ

"วันนี้ฉันมันเป็นคนโง่ นายก็เหมือนกับเจียงเจ๋อนั่นแหละ สมควรแล้ว!" เธอโกรธแค้นจนน้ำตาร่วงหล่น น้ำตารินไหลเป็นสาย

เฉินลู่เอ่ยอย่างเลือดเย็น "สวีซุ่ยหนิง นึกถึงพ่อของเธอไว้"

วันนี้เฉินลู่เปลี่ยนไปมาก

"นึกถึงพ่อของเธอไว้" ประโยคนี้ ทำให้ใจเธอเต้นแรง หนังศีรษะของเธอชาราวกับโดนกระชากอย่างเต็มแรง

สวีซุ่ยหนิงตกใจกับคำพูดของเขา จะขยับเธอก็ไม่กล้า แม้แต่น้ำตายังไม่กล้ารินไหล มือของเธอกำเนื้อผ้าโซฟาไว้แน่น ทว่าก็ต้องยอมจำนน

ครานี้เฉินลู่โหดร้ายและหุนหันพลันแล่น เอวบางของสวีซุ่ยหนิงถูกเขาจับเอาไว้ แม้จะหลบก็ไม่อาจหลบได้

เธอรู้สึกว่าเธอช่างน่าสังเวชเหลือเกิน เธอไม่ควรปล่อยให้สาวสวยคนนั้นนั่งแท็กซี่ไป ไม่อย่างนั้นวันนี้เธอคงไม่ต้องแบกรับสิ่งเหล่านี้ เธอเศร้าโศกและร้องไห้ให้กับตัวเอง

ในอนาคตเธอจะไม่เป็นคนดีต่อสังคมอีกแล้ว

เฉินลู่เป็นเสมือนสัตว์ร้าย ไม่สำคัญว่าเธอจะรู้สึกดีหรือไม่ เขาห่วงแค่ตัวเขาเองเท่านั้น

ด้านหลังของสวีซุ่ยหนิงนั้นไร้เรี่ยวแรง เธอทำได้เพียงแค่กอดแขนเขาไว้

ราวกับว่าเฉินลู่ไม่ได้ยิน การกระทำที่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เธออดไม่ได้ที่จะส่งเสียงร้องออกมา

ตั้งแต่ต้นจนจบ ดวงตาของเขาดูตื่นตัวตลอดเวลา ราวกับว่าเป็นเพียงคนนอกที่คอยเฝ้ามองอย่างไรอย่างนั้น เฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าของเธอโดยไม่แสดงอาการใดๆ สวีซุ่ยหนิงไม่ใช่ท่อนไม้ ท้ายที่สุดเธอก็มีปฏิกิริยาตอบโต้ ใบหน้าของเธอแดงระเรื่อ

"รู้สึกสุดยอดขนาดนั้นเลย?" ราวกับว่าเขากำลังยิ้มอย่างถากถาง เขาเอ่ยคำพูดออกมาอย่างแผ่วเบา "แพศยา"

สวีซุ่ยหนิงไม่แน่ใจว่าเขาจำคนผิดหรือไม่ คิดว่าเธอคือโจวอี้ โดยทั่วไปแล้วคำพูดหยาบคายเช่นนี้ผู้ชายมักจะไม่เอ่ยออกมา เห็นได้ชัดว่ากำลังอยู่ในสถานการณ์ที่โกรธเคืองมากหรือไม่ก็กำลังรู้สึกเบื่อมาก

ทว่าเธอไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าจะครุ่นคิดอะไร เธอเหนื่อยมาก เหนื่อยเกินกว่าจะสนใจสิ่งใดได้

บางทีเธอควรหยิบมีดขึ้นมาและแทงเฉินลู่ให้ตายไปซะ ทว่าเธอมีพ่อมีแม่ ไม่อาจทำเรื่องแบบนั้นได้ เรื่องราวก็ไม่ได้เลวร้ายถึงขั้นนั้น

เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น สวีซุ่ยหนิงก็พลิกตัวและหันหลังให้เขา

ขาของเฉินลู่ยังคงอยู่ใกล้เธอ เธอรู้สึกได้ว่าเหมือนว่าร่างกายของเขายังคงสั่นสะท้าน เห็นได้ชัดว่าทุกสิ่งยังไม่ผ่านพ้นไป

สวีซุ่ยหนิงคิดอยากจะไปอาบน้ำ ร่างกายของเธอมีกลิ่นแอลกอฮอล์ที่ติดมาจากร่างกายของเขา เพียงแต่ว่าเธอไม่ต้องการขยับร่างกายเลยแม้แต่น้อย วันนี้เป็นวันที่แย่ที่สุด

ร่างกายของสวีซุ่ยหนิงใช้เรี่ยวแรงมากจนเกินไป ท้ายที่สุดเธอก็ผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว

วันรุ่งขึ้นเมื่อเธอตื่นขึ้น เฉินลู่ไม่ได้นอนอยู่บนเตียงแล้ว ชั้นล่างเหมือนว่าเธอได้ยินเสียงบทสนทนา เธอได้ยินว่าอะไรกำเริบสักอย่าง จากนั้นเธอลุกขึ้นและเดินด้วยท่าทางประหลาด แต่เธอก็ยังจะลงไปชั้นล่าง

เสียงที่เธอลงไปยังชั้นล่างทำให้ทั้งสองคนที่กำลังคุยกันอยู่นั้นตกใจ เฉินลู่หันกลับมามองเธอด้วยท่าทีเฉยเมย ส่วนอีกคนราวกับว่ากำลังประหลาดใจและชำเลืองมองเฉินลู่

สีหน้าของเฉินลู่ยังคงเหมือนเดิม

“กินยาสองกล่องนี้ไปก่อน” ชายคนนั้นกล่าว "ถ้าหากกำเริบอีกครั้งก็ระวังด้วย มาดูว่ามีปัญหาตามมาหรือไม่ จะมีปัญหาซ้ำอีกหรือไม่ หลายปีมานี้นายไม่เคยก่อเรื่อง หากอ้างตามหลักเหตุผลแล้วก็ไม่น่าจะมีอีก"

เฉินลู่ยื่นมือออกมารับกล่องไว้ด้วยท่าทีเลื่อนลอย

"ฉันยังมีธุระ ขอตัวก่อน หากนายมีปัญหา ติดต่อฉันได้ทุกเมื่อ"

"อืม"

เมื่อหมอจากไป เขาเหลือบมองสวีซุ่ยหนิง ท่าทีเหมือนกำลังครุ่นคิดบางอย่าง

เฉินลู่ป่วยเหรอ? ท่าทางแข็งแรงมีชีวิตชีวาเมื่อคืนนี้ ไม่เหมือนกับคนป่วยเลยสักนิด

สวีซุ่ยหนิงขมวดคิ้วแน่น เธอกระหายน้ำ เธอลงมาด้านล่างเพื่อหาน้ำดื่ม แน่นอนว่าอีกเดี๋ยวเธอก็จะไปแล้ว เมื่อเธอเดินผ่านเฉินลู่ เธอระมัดระวังตัวมาก ไม่แน่ใจว่าเขามีสติสัมปชัญญะครบถ้วนหรือไม่

เฉินลู่ชำเลืองมองเธอ

ดูเหมือนว่าจะกลับมาเป็นปกติแล้ว

เขายังคงสวมเสื้อคลุม รอยข่วนบนแผงอกของเขาดูน่ากลัวเป็นอย่างมาก เธอลืมไปหมดแล้วว่าเมื่อคืนนี้เธอร้ายกาจถึงขนาดนั้น

สวีซุ่ยหนิงละสายตาและพูดอย่างเหินห่าง "นายใช้พ่อแม่ของฉันข่มขู่ฉันแล้วหนึ่งครั้ง และฉันก็ให้ความร่วมมือกับนาย หวังว่าในอนาคตนายจะไม่ใช้วิธีนี้ข่มขู่ฉันอีก"

เฉินลู่ขมวดคิ้วพลางเอ่ย “ฉันขอโทษ”

"แล้วก็ เมื่อวานนี้คู่กรณีเจ้าของรถคนนั้น เรียกค่าเสียหายห้าหมื่นหยวน ฉันจ่ายไปแล้ว รบกวนนายคืนให้ฉันด้วย"

เฉินลู่เลิกคิ้วและพูด "มีเรื่องนี้เกิดขึ้นด้วยเหรอ?"

"เพื่อนของนายก็อยู่ในเหตุการณ์ เธอสามารถเป็นพยานได้" สวีซุ่ยหนิงเป็นทุกข์จากการสูญเสียร่างกาย ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นเธอไม่อาจสูญเสียเงินได้อีก

เฉินลู่ถามเลขบัญชีของเธอและได้ทำการโอนเงินให้เธอ

เห็นได้ชัดว่าเขายังพักผ่อนไม่เต็มที่ กำลังจะขึ้นไปชั้นบนเร็วๆนี้ สวีซุ่ยหนิงเองก็เช่นกัน ทว่าเธอต้องกลับไปพักผ่อน เพียงแต่ว่าขาทั้งสองข้างนั้นไร้เรี่ยวแรง เมื่อเธอเดินมาถึงประตู เธอนั่งยองกับพื้นเพื่อพักเอาเรี่ยวแรง

เฉินลู่มองเธอและรู้สึกสงสาร เขาเดินเข้าไปหาเธอและเอ่ย "เธอพักผ่อนที่นี่เถอะ ช่วงค่ำฉันจะไปส่งเธอ"

สวีซุ่ยหนิงปฏิเสธ เฉินลู่ก็ไม่ได้สนใจเธออีก

สิบนาทีต่อมา เขาสวมชุดนอนและเดินออกมา เมื่อเขามองลงมาจากหน้าต่าง เธอก็ยังนั่งอยู่ที่เดิม

หาได้ยากที่เฉินลู่จะมีความเมตตา เขาลงมาชั้นล่างและอุ้มเธอขึ้นไปยังชั้นบน ระหว่างนั้นเขาเลี่ยงสถานที่ที่ไม่ควรสัมผัส เมื่อเปรียบเทียบกับเมื่อคืนนี้ ราวกับเป็นคนละคน

เป็นเพราะดื่มเหล้ามากไปจริงเหรอ?

ทว่าสวีซุ่ยหนิงไม่อยากเอาเวลาไปครุ่นคิดเรื่องของเขา เมื่อสัมผัสเตียงนอน เธอผล็อยหลับไปในทันใด

เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เห็นว่าเฉินลู่กำลังนั่งสูบบุหรี่อยู่บนโซฟา

เธอลุกขึ้นนั่ง ผ้าห่มร่วงหล่น ผ่านไปชั่วขณะ สวีซุ่ยหนิงก็ยังไม่รู้ว่าเสื้อผ้าของตัวเธอนั้นถูกเปิดออก เผยให้เห็นเสื้อสีดำตัวเล็ก

"ตื่นแล้วเหรอ?"

น้ำเสียงของเฉินลู่สงบนิ่ง เขาขยี้ก้นบุหรี่

"ฉันจะกลับบ้านแล้ว" สวีซุ่ยหนิงเอ่ย

เฉินลู่เอ่ยด้วยทีท่าสงบนิ่ง "รอประมาณหนึ่งชั่วโมง"

สวีซุ่ยหนิงคิดว่าเขาอาจจะต้องไปทำงานกะดึกที่โรงพยาบาล อาจจะไปเส้นทางเดียวกับเขา หากต้องไปๆกลับๆก็คงจะยุ่งยาก "ได้"

เธอกลับมาอีกครั้ง เธอไม่อยากจะพูดคุยกับเขา หากไม่ใช่ว่าวันนี้จางอวี้ติดธุระ เมื่อครู่นี้เธอก็คงจะออกไปจากที่นี่แล้ว

เฉินลู่มองเธอครู่หนึ่ง จากนั้นเขาคลายเข็มขัด

กระทั่งสวีซุ่ยหนิงเปิดผ้าห่ม เฉินลู่ก็เข้ามารังแกเธอ เธอมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง จับต้นชนปลายไม่ถูก จากนั้นเธอผลักไสเขา

"เฉินลู่ นายอย่าให้มันมากไปนะ!" เธอขมวดคิ้วแน่นพลางเอ่ย

เฉินลู่เอ่ย "มันจะไม่เลยเถิดเหมือนเมื่อวาน"

ทว่า ท่าทียังคงแข็งกร้าว

สวีซุ่ยหนิงครุ่นคิด เมื่อเธอครองสติได้ น้ำตาเธอรินไหล น่าจะทำให้เขารู้ได้บ้างว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ ทว่าแท้จริงแล้วเฉินลู่ไม่ใช่คนรักหยกถนอมบุปผา[1] เขายังคงเอาแต่ใจอยู่อย่างนั้น

เธอไร้ซึ่งอำนาจและแรงต่อต้าน ทรมานจวนขาดใจ

เฉินลู่เอ่ย "ไม่ใช่ว่าเธอเสนอข้อเรียกร้องเก่งหรอกเหรอ? ในเวลานี้เธอแสร้งทำตัวเป็นนางเอกไปก็ไร้ประโยชน์ ก่อนหน้านี้สวีซุ่ยหนิงเธอพยายามทำเรื่องต่างๆมากมายเพื่อยั่วยวนฉัน ไม่ต่อต้านที่ฉันทำแบบนี้ ตอนนี้สู้ให้เธอคิดให้ดี เธออยากได้อะไรจากฉัน แบบนั้นไม่ดีกว่าเหรอ?"

คำพูดของเขาทำให้สวีซุ่ยหนิงตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอับอาย เธอไม่ได้ถือสากับเรื่องแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้แย่อย่างที่เขาพูด เธอยิ้มและเอ่ย "นายทำให้เจียงเจ๋อหยุดรังควานฉันได้ไหม? นายทำให้พ่อของฉันหายเป็นปกติได้หรือเปล่า?"

เฉินลู่เลิกคิ้วขึ้นพลางพูด "ได้แน่นอน ทว่าเธอ สวีซุ่ยหนิงทำให้ฉันเห็นหน่อยว่าเธอคุ้มค่ากับราคา"

"ฉันไม่เชื่อนายหรอก นายมันคนโกหก"

เฉินลู่เพียงเอ่ยคำว่า "อย่ากัด"

แน่นอนว่าไม่ใช่ด้านบน

สวีซุ่ยหนิงไม่ขยับ เธอปล่อยเขาทำตามใจ อย่างไรตอนนี้โทรศัพท์ของเธอก็กำลังบันทึกเสียง หากเฉินลู่โกหกเธออีก เธอก็จะเผยแพร่เสียงบันทึกนี้ต่อสาธารณะ

รักหยกถนอมบุปผา[1] หมายถึง เป็นสำนวนจีน บุรุษควรทะนุถนอมอ่อนโยนต่อสตรี

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เสน่ห์เหลือร้ายของคุณนายตระกูลเฉิน