เฉินลู่ไม่เคยคิดว่าสวีซุ่ยหนิงจะเอ่ยปากพูดเช่นนี้
เขาไม่ได้เตรียมใจมาเลยสักนิด หลังจากฟังคำพูดของเธอแล้ว เขาไม่สามารถระงับความประหลาดใจของเขาได้ เขาเลิกคิ้วแล้วชำเลืองมองเธอ
"ก็คือว่านายไปเคลียร์กับพ่อของนายแล้วค่อยมาถามฉันอีกรอบ อย่างน้อยก็ต้องแบบนี้ไหม?" สวีซุ่ยหนิงปรึกษากับเขา "ฉันสามารถให้โอกาสนายได้ แต่เงื่อนไขเบื้องหลังนั้นมันมากจนเกินไป โดยเฉพาะพ่อของนาย เอาแน่เอานอนกับเขาไม่ได้ ชอบกลับไปกลับมากับฉันเสมอ ฉันกลัวว่าเดี๋ยวฉันจะตัดสินใจไปอย่างเปล่าประโยชน์ ส่วนนายก็เปลี่ยนแปลงได้เสมอ เดี๋ยวก็ดี อีกเดี๋ยวก็ร้าย นายให้ฉันเห็นถึงความจริงใจก่อนได้หรือเปล่า?"
"ได้สิ" เฉินลู่พยักหน้า เขากระแอมเบาๆ เดิมทีเขาดูเฉยเมย แต่ตอนนี้เขาไม่แม้แต่ที่จะสามารถซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ได้ เขาเอื้อมมือออกไปและเชยคางของเธอ ให้เธอสบสายตาเขา "คราวนี้ไม่ได้มีจุดประสงค์อะไรแล้วใช่ไหม?"
สวีซุ่ยหนิงปัดมือเขาออกและกล่าว "นายรำคาญเสียจริง ฉันยังไม่ได้ให้โอกาสนายเสียหน่อย ยังต้องดูท่าทีของนายก่อน"
"ฉันคิดว่าฉันยังต้องรออีกนานแสนนาน" เฉินลู่ดึงมือกลับและเอ่ย
สวีซุ่ยหนิงเอ่ยด้วยท่าทีบูดบึ้ง "พวกหล่อนชอบพูดถึงความดีของนายต่อหน้าฉัน ทั้งสองคนนั้นอยู่ข้างนาย"
จางอวี้เอย เสี่ยวเย่ที่ชอบจับคู่เอย ตลอดทั้งวันคอยพูดกรอกหูเธออย่างไม่หยุดหย่อน บางคราติดต่อกับเถ้าแก่ซู หล่อนก็พูดคุยถึงเหตุและผลกับเธอ เฉินลู่เองก็ยอมอ่อนข้อ สามารถลองดูว่าเขาจะสามารถอ่อนข้อได้ถึงไหน
เมื่อเห็นเช่นนี้ ยากนักที่เขาจะไม่สนใจ เขาเอ่ยถามอย่างแฝงความนัย "แล้วเธอล่ะ?"
สวีซุ่ยหนิงเงียบไปชั่วขณะและเอ่ย "ก็รู้สึกว่าเดี๋ยวนี้นายเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น"
"อันที่จริงถูกเธอบีบบังคับให้ทำตัวดีขึ้น" เฉินลู่กล่าว เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะรู้สึกต่ำต้อยเพราะเธอครั้งแล้วครั้งเล่า
จะเห็นได้ว่าระหว่างคู่รัก คำว่า'ปรับตัว'นั้นครอบคลุมไปในทุกด้าน ทฤษฎีเกมระหว่างชายหญิง จะมีฝ่ายหนึ่งประนีประนอมกับความต้องการของอีกฝ่ายหนึ่งเสมอ
หลังจากที่สวีซุ่ยหนิงรับฟังคำพูดของเฉินลู่ เธอก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เธอเพียงแค่นึกถึงซูหว่านจิ้งและเอ่ยถามถึงเรื่องของเฉินเหลียน "พี่ชายของนายดีต่อโจวอี้ขนาดนั้น เขาชอบโจวอี้เหรอ?"
"ไม่ใช่" เขากล่าว
"จางอวี้และซูหว่านจิ้งต่างก็เคยพูด ก่อนหน้านี้พี่ชายของนายน่ะแอบชอบโจวอี้" อันที่จริงสวีซุ่ยหนิงนั้นซ่อนเร้นความคิด เธออยากจะเห็นว่าเมื่อพูดถึงโจวอี้ท่าทีของเฉินลู่จะเป็นเช่นไร
เฉินลู่จ้องมองเธอ น้ำเสียงสงบนิ่ง "ไม่เคยสังเกตมาก่อนเลย ไม่รู้ว่าเขาชอบโจวอี้หรือเปล่า บางทีอาจเป็นไปได้ ในตอนนั้นมีคนมากมายที่ชมชอบโจวอี้ ในตอนนั้นต่อหน้าฉัน เฉินเหลียนก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา"
"แต่หลังจากนั้น เป็นไปได้สูงว่าเขาไม่ได้ชอบโจวอี้ อย่างน้อยก็หลังจากที่ได้รู้จักกับซูหว่านจิ้ง เขาก็ดูเพิกเฉยต่อโจวอี้"
"แล้วเขาจะปกป้องเธอไปทำไม?"
เฉินลู่รู้สึกว่าด้วยน้ำเสียงนี้ เหมือนมีองค์ประกอบที่ย้อนถามตัวเขาเอง เขาเลิกคิ้วขึ้น พยายามไม่เอาตัวเขาเองเข้าไปข้องเกี่ยวในเรื่องของเฉินเหลียน น้ำเสียงก็เริ่มเฉยเมยมากขึ้น "ปีนั้นลูกพี่ลูกน้องหญิงของฉันถูกผู้ชายลวงหลอก โจวอี้พยายามทำให้ลูกพี่ลูกน้องของฉันรู้จักนิสัยของผู้ชายคนนั้น ลูกพี่ลูกน้องหญิงคนนั้นเป็นหญิงสาวคนเดียวของตระกูลเฉินและยังเป็นน้องสาวของเฉินเหลียน เฉินเหลียนคงปกป้องเธอเพราะเหตุนี้"
สวีซุ่ยหนิงกล่าว "เถ้าแก่ซูก็มอบความรู้สึกที่ดีให้แก่เขานี่? ทำไมไม่เห็นว่าเขาจะปกป้องเถ้าแก่ซูอย่างดีบ้างล่ะ"
"ซูหว่านจิ้งโหดร้ายกับผู้หญิงที่อยู่รอบตัวเขา เขารู้สึกแย่กับเธอ"
“เฉินเหลียนแค่หาข้อแก้ตัว”
เฉินลู่กล่าว "ในตอนนั้นซูหว่านจิ้งค่อนข้างสุดโต่งในการไล่ตามเฉินเหลียน และเธอยังคงมีบุคลิกที่เฉียบขาดเช่นนี้.."
ใบหน้าของสวีซุ่ยหนิงค่อยๆมืดมนลง ไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจน แต่เห็นได้ชัดว่าดูไม่ค่อยแฮปปี้เท่าไรนัก
เฉินลู่หยุดชะงัก โดยปกติแล้วเพราะเฉินเหลียนไม่จำเป็นจะต้องทำให้เขาไม่มีความสุข เขาจึงประนีประนอมในเวลาที่เหมาะสมและพูดขึ้น "อย่างไรก็เถอะ นิสัยของซูหว่านจิ้งกล้าที่จะรักและกล้าที่จะเกลียดชัง"
"ใช่ไง แต่ผู้ชายที่อยู่ข้างกายต่างก็ล้วนแต่ตาบอด" สวีซุ่ยหนิงพูดด้วยอารมณ์บางอย่าง "ผู้หญิงเข้าใจความเจ็บปวดเดียวกัน นายยังจะพอมีวีแชตของคุณหลินคนนั้นหรือเปล่า ฉันคิดว่าเธออาจจะรักเถ้าแก่ซูมากกว่าคนพวกนั้น"
เฉินลู่ครุ่นคิดว่าคุณหลินคือใคร ในไม่ช้าเขาก็จำได้ คนที่เคยนัดเขาและสวีซุ่ยหนิง เล่น'ครอบครัวพ่อแม่ลูก'คนนั้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เสน่ห์เหลือร้ายของคุณนายตระกูลเฉิน
แรกๆ สงสารนอ อ่านไปอ่านมาสงสารพอ...
เฉินลู่ไอ้คนเลว ส่วนสวีซุ่ยหนิงก็ใจอ่อนน่าสงสารเสียจริง...
ซุยหนิงย้ายที่อยู่เถอะ สงสารนาง เจอแต่ผู้ชายเลวๆ...
สวีซุยหนิงทำไมชอบเป็นของเล่นของเฉินลู่ล่ะ...
ช่วยอัพต่อด้วยค่ะ...