อ่านสรุป บทที่ 38 (2) จาก เสน่ห์เหลือร้ายของคุณนายตระกูลเฉิน โดย จิ่นอวิ๋น
บทที่ บทที่ 38 (2) คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายการโต้แย้ง เสน่ห์เหลือร้ายของคุณนายตระกูลเฉิน ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย จิ่นอวิ๋น อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง
สวีซุ่ยหนิงจ้องมองเขาที่กำลังแขวนรูปภาพนั้นกลับที่เดิมด้วยท่าทีระมัดระวัง เขาชื่นชมภาพนั้นอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ยิ้มเล็กน้อย
เธอคิดว่านี่มันหาได้ยากมากจริงๆ
ต่อหน้าเธอ เฉินลู่ไม่เคยยิ้มอย่างจริงใจเลยสักครั้ง
หลังจากที่ออกจากห้องนั้น เฉินลู่ก็ล็อคปิดตายห้องนั้นทันที ตั้งแต่นั้นมาสวีซุ่ยหนิงใช้ห้องนอนรับแขก ส่วนห้องนั้นก็เป็นสถานที่ต้องห้ามที่ไม่อาจเข้าไปได้อีกตลอดกาล
เขาคงกลัวว่าจะเกิดเรื่องเหนือความคาดหมายขึ้นอีกครั้ง เช่นนั้นแล้วเขาก็ไม่ให้ใครเข้าไปในห้องนั้นอีกเลย
แต่สวีซุ่ยหนิงค่อนข้างประหลาดใจ เดิมทีเธอคิดว่าเฉินลู่จะต้องโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ แต่ทว่านอกจากไม่ให้ใครเข้าห้องนั้นอีก เขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีใดเลย
ห้องนอนรับแขกของเฉินลู่ก็ใหญ่เช่นกัน สวีซุ่ยหนิงชอบที่นี่มากกว่าเสียอีก ในพื้นที่แปลกใหม่นี้ไม่มีความรู้สึกของโจวอี้เลยแม้แต่น้อย
ในขณะที่เธอเคลื่อนตัวขึ้นไปบนเตียง เธอลูบคลำบริเวณเอว เธอรู้สึกเจ็บจี๊ด พลันนึกได้ว่าเมื่อคืนนี้เธอตกเตียง ทันใดนั้นเธอเอ่ย "เฉินลู่ เมื่อคืนนี้ฉันนอนตกเตียงไปเองงั้นเหรอ?"
เขาชะงักและกล่าว "ฉันถีบส่ง"
สวีซุ่ยหนิงถึงกับพูดไม่ออก
เธอมีความรู้สึกบางอย่างที่ไม่อาจพูดออกมาได้ ถูกเตะจนตกเตียง นี่คือความอัปยศที่รุนแรงจนเกินไป หากว่าพูดออกไป ใครบ้างที่จะไม่รู้สึกขำ ยิ่งไปกว่านั้น หากเธอศีรษะกระแทกล่ะ แม้ว่าใต้เตียงจะเป็นพรม แต่ข้างเตียงก็ยังมีโต๊ะ ขอบโต๊ะยังแหลมมากอีกต่างหาก
หากกระแทกไป เธออาจจะไม่มีชีวิตอยู่อีกแล้ว
สีหน้าของสวีซุ่ยหนิงดูไม่ดีนัก
"หลังจากนี้ก็นอนให้อยู่ในขอบเขตหน่อย" เฉินลู่เอ่ยอย่างไร้อารมณ์
สวีซุ่ยหนิงอดไม่ได้ที่จะเอ่ย "ดังนั้นนายก็เลยเตะฉันลงมาเนี่ยนะ? ตอนนั้นฉันไม่มีสตินี่ นายเขย่าตัวฉัน ปลุกฉันหน่อย บอกฉันดีๆไม่ได้หรือไง?"
เฉินลู่มองดูเธออย่างเย็นชา
สวีซุ่ยหนิงชะงักงัน เธออดกลั้นและเอ่ยด้วยน้ำเสียงปกติ "งั้นหลังจากนี้ฉันจะนอนบนพรมเอง"
เธอเอ่ยจากนั้นเธอหยิบผ้าห่มลงมาและนอนลงบนพรม มันค่อนข้างนุ่ม เมื่อนอนแล้วก็รู้สึกสบาย
เฉินลู่ชำเลืองมองเธอสองครา จากนั้นเขาก็ไม่ได้สนใจเธอ
ในความจริงแล้วสวีซุ่ยหนิงมีอารมณ์ขุ่นเคืองเล็กน้อย ทว่าเธอก็ระบายอารมณ์กับตัวเอง ไม่ได้คิดให้เขามาปลอบโยน เห็นได้ชัดว่าเฉินลู่ไม่สามารถทำตัวดีๆต่อเธอได้อย่างแน่นอน
เธอไม่เคยคิดให้เฉินลู่มาเอ่ยขอโทษ เธอนอนบนพรมยังดีเสียกว่า
ไม่กี่วันต่อมา สวีซุ่ยหนิงก็ยังคงนอนบนพรม ข้างพรมเธอวางหนังสือไว้สองเล่ม เล่มหนึ่งคือหนังสือเกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศ อีกเล่มหนึ่งคือหนังสือการตลาด เห็นได้เลยว่าเธอตั้งใจจะนอนบนพรมจริงๆ
เฉินลู่เองก็ไม่สนใจเธอ ในคืนหนึ่งเขาอยู่โรงพยาบาลทำงานล่วงเวลา และไม่ได้กลับมา เธอเองก็ไม่ได้ขึ้นไปนอนด้านบน
ไม่รู้ว่าตั้งแต่วันไหน เฉินลู่ไม่ได้เปิดเครื่องปรับอากาศ พื้นที่บนพรมก็ไม่พอใช้งาน สวีซุ่ยหนิงนอนอยู่บนพื้นเพียงชั่วคราวจากนั้นเธอก็รู้สึกหนาว เธอซุกตัวภายใต้ผ้าห่ม ไม่นานนักเธอก็ลุกขึ้นมองหารีโมทของเครื่องปรับอากาศ
เฉินลู่เอ่ย "จะขยับไปมาทำอะไร?"
"เปิดเครื่องปรับอากาศ"
"อากาศแบบนี้ยังต้องเปิดเครื่องปรับอากาศนอนอีกงั้นเหรอ?" เขาย้อนถาม
สวีซุ่ยหนิงเงียบ
เฉินลู่เลิกคิ้ว "หนาวก็ขึ้นมานอนข้างบนแค่นี้ก็สิ้นเรื่อง ตอนอยู่บ้านตัวเองก็ไม่เห็นจะเปิด"
สวีซุ่ยหนิงเอ่ย "ฉันไปนอนห้องรับแขกห้องอื่นก็ได้"
เฉินลู่กล่าว "ขึ้นมา"
สวีซุ่ยหนิงเอ่ย "ไม่ได้หรอก ฉันกลัวว่าฉันจะโดนเตะตกเตียงอีกน่ะสิ ครั้งก่อนนับว่ายังโชคดี ไม่ได้กระแทกโดนอะไรเข้า แล้วใครจะรับประกันครั้งต่อไปได้ล่ะ?"
เฉินลู่ขมวดคิ้วและกล่าว “ครั้งก่อนโดนปลุกก็เลยโมโห หลังจากนี้ไม่มีแล้ว ไม่งั้นเธอคิดว่าฉันเป็นพวกหัวรุนแรงงั้นเหรอ?”
"ไม่ต้อง งั้นฉันจะนอนบนพรมต่อไปแบบนี้แหละ" สวีซุ่ยหนิงกล่าว "บนพรมก็ดี พรมนุ่ม หากขึ้นไปนอนกับนายเดี๋ยวฉันจะรบกวนนายเข้า"
เฉินลู่เองก็ไม่พูดอะไรอีก
สวีซุ่ยหนิงยังคงนอนขดตัวอยู่อย่างนั้น หลังจากนั้นไม่นาน เฉินลู่ก็ลุกจากเตียงและอุ้มเธอกลับไปที่เตียง
นอกจากนี้เขายังโยนผ้าห่มของเธอลงบนพื้น สวีซุ่ยหนิงกำลังนอนอยู่ภายใต้ผ้านวมของเขา ที่แท้ผู้ชายก็แตกต่างกับผู้หญิง อุณหภูมิร่างกายของเขานั้นสูงมาก
เฉินลู่กล่าว "หลับให้สบาย ไม่รู้หรือไงว่าร่างกายของเธอไม่อาจทนหนาวได้อีก ไม่กี่วันก่อนก็เป็นหวัด ลืมไปแล้วเหรอ? ตอนเธอเป็นหวัดไม่มีใครมีเวลาดูแลเธอหรอกนะ"
พูดเหมือนว่าก่อนหน้านี้เขาเคยดูแลเธองั้นแหละ
สวีซุ่ยหนิงยังจำได้ขึ้นใจ ครั้งก่อนเฉินลู่ไปส่งเธอที่บ้านจากนั้นเขาก็จากไป วันถัดมาเธอไข้สูงจนไม่อาจลุกขึ้นได้ ท้ายที่สุดเธอฝืนทนและสั่งอาหารให้มาส่ง
เฉินลู่ไม่เหลียวแลเธอเลยสักนิด เขายังเป็นหมอได้อีก
ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่าหมอไม่สูงส่งอีกต่อไป
ในขณะที่สวีซุ่ยหนิงกำลังครุ่นคิดด้วยท่าทีไม่ใส่ใจ เฉินลู่กอดเธอจากด้านหลัง แต่ทว่าในช่วงนี้เขายุ่งมาก เห็นได้ชัดว่ามีใจแต่ไร้เรี่ยวแรง เขาประทับจูบเธอจากบนลงล่างตามแนวกระดูกสันหลัง แต่ก็ไม่ได้ทำเรื่องที่เกินเลย
ไม่จำเป็นต้องปรนนิบัติสุนัขตัวนี้ ช่างดีเสียจริง
"หลายวันมานี้นายคงเหนื่อยมากใช่ไหม?" สวีซุ่ยหนิงเอ่ยด้วยท่าทีหวังดี "หลังจากนี้ก็ต้องพักผ่อนเยอะๆ"
เฉินลู่ชะงักงัน เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ "เธอหมายความว่าไง?"
สวีซุ่ยหนิงกะพริบตาปริบๆ จำไม่ได้เลยว่าตัวเธอนั้นพูดอะไรล่วงเกินเขา เธอเพียงแค่หวังดีบอกให้เขาดูแลตัวเอง
เฉินลู่ทาบทับร่างกายของเธอ "เธอหมายความว่าทำแบบนั้นไม่ได้งั้นเหรอ?"
ระยะเวลาผ่านไปสี่วัน ทั้งสองถึงจะผูกสัมพันธ์กันครั้งหนึ่ง
สวีซุ่ยหนิงเห็นได้อย่างชัดเจน หลังจากที่เฉินลู่กลับมาความปรารถนาของเขาลดน้อยลง วันก่อนในตอนที่อยู่ต่างประเทศเขารักสนุกมาก ในเวลานี้ เขายับยั้งชั่งใจ หนึ่งอาทิตย์ผูกสัมพันธ์ได้สองครั้ง
เดิมทีสวีซุ่ยหนิงก็ง่วงนอนอยู่แล้ว หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจเธอไม่อาจลืมตาได้เลย
จิตใต้สำนึกคิดอยากจะพลิกตัวและขยับออกไปให้ไกลอีกหน่อย ทว่าเฉินลู่กลับคว้าเธอไว้และเอ่ย "ฉันยังไม่นอน"
สวีซุ่ยหนิงสัมผัสได้ว่าร่างกายของเขาสั่นสะท้าน
"ผู้ชายตัวสั่นด้วยเหรอ?" เธอเอ่ยถาม "สบายเลยสิ?"
เฉินลู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย
"เธอว่าไงล่ะ?"
สวีซุ่ยหนิงกล่าว "ก็จริง หากไม่สบายใครบ้างจะยอมเหน็ดเหนื่อยขนาดนี้ วิ่งแปดร้อยเมตรยังไม่เหนื่อยขนาดนี้เลย"
เมื่อเอ่ยเช่นนี้ สวีซุ่ยหนิงพลันคิดได้อีกครั้ง จางอวี้เอ่ยว่าตอนมัธยมปลายเฉินลู่แข่งว่ายน้ำ ไม่เพียงแต่กางเกงรัดรูปเท่านั้น แต่ยังเป็นการว่ายน้ำ1,000เมตรที่เร็วที่สุดอีกด้วย
ที่แท้ก็เป็นม้าดีนี่เอง
สำหรับเรื่องการหลับนอนนั้นเก่งมากจริงๆ
น่าเสียดายเจ้าอารมณ์ไปหน่อย เขาต้องถูกควบคุมจากคนที่เขายินดีให้ควบคุม
ผ่านไปเนิ่นนาน เฉินลู่ปล่อยเธอ เขาขยับออกห่างและเอ่ย "นอนเถอะ พอกอดแล้วไม่รู้ว่ามีแบคทีเรียมากเท่าไร หากเธอขยับมาชิดอีก ฉันจะปลุกเธอ"
สวีซุ่ยหนิงริเริ่มที่จะขยับออกห่างจากเขาประมาณ108,000ลี้
หลายวันต่อมา เฉินลู่ให้เธอมาหาเขาทุกๆสี่หรือห้าวัน
สวีซุ่ยหนิงมีความสุขมาก โดยปกติแล้วก็ไม่มีความสำคัญที่จะต้องพบหน้ากัน มีครั้งหนึ่งเมื่อเธอไปหาเขา เธอเห็นว่าเฉินลู่และเซี่ยซีกำลังมีปากมีเสียงกัน เมื่อเธอได้ฟัง เธอพบว่าเป็นเพราะเรื่องรูปภาพงานแต่งนั้น
สวีซุ่ยหนิงเพิ่งรู้ว่าเฉินลู่ยังคงโกรธเคือง แต่ทว่าเขายังมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ไม่ได้พาลมาบันดาลโทสะใส่เธอ
ตามสมมติฐานของเธอ ตอนนี้เธอน่าจะวิ่งตามเฉินลู่ไปแล้ว
สวีซุ่ยหนิง "............."
นี่คืออะไร ความทนทุกข์ของมนุษย์
เกิดความโกลาหลในโรงพยาบาล พนักงานรักษาความปลอดภัยควบคุมตัวเขาได้อย่างรวดเร็ว
เฉินลู่มองหญิงสาวที่อยู่ด้านหน้าของเขา สีหน้าของเขามืดมนลงทันใด ใบหน้าของเขาน่าเกลียดเป็นอย่างมาก
ช่วงเวลาสุดท้ายที่สวีซุ่ยหนิงยังคงมีสติ เธอกอดเฉินลู่ไว้น้ำตารินไหลจากความเจ็บปวด เฉินลู่ขมวดคิ้วแน่นเขากอดเธอและร้องตะโกนเรียกหมอดังไปทั่วทุกสารทิศ
......
เมื่อสวีซุ่ยหนิงตื่นขึ้นจากการดมยาสลบ พยาบาลที่อยู่ด้านข้างรีบเอ่ย "คุณตื่นแล้ว ฉันจะไปเรียกหมอเฉินนะคะ"
เธออ้าปาก แต่ไม่สามารถเปล่งเสียงได้
หลังจากนั้นไม่กี่นาที เฉินลู่ก็เดินเข้ามา สีหน้าของเขาเย็นชามาก พยาบาลกล่าวทักทายเขาจากนั้นก็จากไป เฉินลู่ยื่นมือออกมาตรวจร่างกายของเธอ นั่งลงข้างเธอแล้วพูด "วันนี้เธอมาทำอะไรที่โรงพยาบาล?"
สวีซุ่ยหนิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้งและแผ่วเบา "มาเยี่ยมพ่อของเพื่อนร่วมงาน"
เฉินลู่เหลือบมองเธอ ลุกขึ้นและเทน้ำหนึ่งแก้วให้เธอ เธอได้รับบาดเจ็บบริเวณไหล่ เมื่อขยับก็รู้สึกเจ็บ เมื่อนอนลงและป้อนก็คงไม่สะดวก เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจิบน้ำ
สวีซุ่ยหนิงเอ่ย "ฉันไม่ต้องการ"
ปากต่อปากไม่ดีอย่างที่เขาบอก มันคือแบคทีเรีย
เฉินลู่กลืนน้ำและเอ่ย "ฉันจะไปเอาสำลีมาซับริมฝีปากของเธอ"
สวีซุ่ยหนิงเอียงศีรษะและกระทบบาดแผล เธอเจ็บจนไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้
เมื่อเฉินลู่กลับมา หมอนของเธอเปียกปอนไปด้วยน้ำตา เขาหยุดชะงัก เขาหยิบทิชชู่ให้เธอ จากนั้นเริ่มซับริมฝีปากด้วยสำลี
สวีซุ่ยหนิงเอ่ย "นายไปทำงานเถอะ"
"ลางานแล้ว" เฉินลู่กล่าว
สวีซุ่ยหนิงรู้สึกว่าเธอกำลังเจ็บปวดเจียนตาย มันเจ็บปวดเกินไป เธอกัดริมฝีปากและมือกำผ้าปูที่นอน เพ่งความสนใจของตนเองไปไว้ที่อื่น "คนคนนั้นถูกจับหรือเปล่า?"
"อืม"
"เขาไม่มีพ่อ เขาน่าสงสารมากนะ"
เฉินลู่ไม่ได้บอกความจริงกับเธอ สิ่งที่คนคนนั้นเศร้าใจ ไม่ใช่เรื่องที่พ่อของเขาเสียชีวิต แต่เป็นเพราะไม่มีเงินบำนาญของพ่อเขาแล้ว เขาใช้ชีวิตเพียงลำพังไม่มีทางรอดอย่างแน่นอน เขาเกลียดเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ทุกคน
ดวงตาของเขาจ้องมองใบหน้าของสวีซุ่ยหนิง ใบหน้าของเธอซีดขาวเนื่องจากการสูญเสียเลือด ดวงตาของเธอแดงก่ำ การแสดงออกนั้นค่อนข้างเคร่งขรึมและเจ็บปวดอย่างเห็นได้ชัด
เฉินลู่เอ่ย "ในเมื่อกลัวความเจ็บปวด จะวิ่งมาขวางแล้วรับมีดแทนฉันทำไม?"
สวีซุ่ยหนิง "......."
สวีซุ่ยหนิงครุ่นคิดภายในใจ นายคิดกับฉันดีเกินไปแล้ว ฉันหวังไว้ว่าคนที่ถูกแทงจะต้องไม่ใช่ฉัน
ในตอนแรกเธอคิดว่ามีดเล่มแรกจะต้องแทงเขา เกรงว่าชายคนนั้นจะต้องมีมีดเล่มที่สอง เดิมทีเธอคิดจะหลบหลังเขา ใช้เขาเป็นเกราะป้องกัน
.....
ในตอนกลางดึกเซี่ยซีมายังโรงพยาบาล
เมื่อเห็นเฉินลู่ เธอยิ้ม "หล่อนสามารถตายแทนแกได้ แกยังคิดจะเล่นๆกับหล่อนอีก ผิดศีลธรรมไปหน่อยมั้ง"
เฉินลู่เอ่ย "ผมสามารถสร้างภาพรักกับเธอและแต่งงานกับเธอได้ แต่ผมไม่ได้ชอบเธอ"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เสน่ห์เหลือร้ายของคุณนายตระกูลเฉิน
แรกๆ สงสารนอ อ่านไปอ่านมาสงสารพอ...
เฉินลู่ไอ้คนเลว ส่วนสวีซุ่ยหนิงก็ใจอ่อนน่าสงสารเสียจริง...
ซุยหนิงย้ายที่อยู่เถอะ สงสารนาง เจอแต่ผู้ชายเลวๆ...
สวีซุยหนิงทำไมชอบเป็นของเล่นของเฉินลู่ล่ะ...
ช่วยอัพต่อด้วยค่ะ...