สวีซุ่ยหนิงฟังคำพูดของลูกพี่ลูกน้องหญิง เวลาผ่านไปชั่วขณะหนึ่งเธอก็ไม่รู้ว่าจะพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร
ลูกพี่ลูกน้องหญิงถอนหายใจแล้วเอ่ย "แต่ก็เป็นไปได้เขาอาจเป็นคนแบบนี้ โลกส่วนตัวค่อนข้างสูง ในช่วงแรกนั้นยากที่จะเข้าใกล้ แต่หากสนิทด้วยแล้วอาจจะดีก็ได้ พี่หวังว่าเธอจะมีสติให้มาก อย่างไรเราก็ครอบครัวเดียวกัน ฉันไม่ทำร้ายเธอ"
สวีซุ่ยหนิงอดยิ้มไม่ได้ เธอกล่าว "ฉันรู้ ตั้งแต่เล็กจนโต เราก็โตมาด้วยกัน ท่าทีของเขาที่มีต่อฉัน อันที่จริงฉันเองก็พอจะเข้าใจ พี่ไม่ต้องเป็นกังวลหรอก"
ลูกพี่ลูกน้องหญิงเบาใจลง หลังจากทั้งสองกลับมาจากซื้อผักและอาหาร พี่ชายก็นำเค้กกลับมาแล้ว ชั้นสองเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ บริเวณตรงกลางมีอักษร 寿 (โซ่ว) [1]
วันนี้คุณย่าเองก็สวมเสื้อผ้าชุดใหม่ เธอนั่งอยู่ตรงกลางโต๊ะแปดเซียนและยิ้มกริ่ม เห็นได้ชัดว่าเธอนั้นชมชอบเฉินลู่ในฐานะ "ลูกเขยคนใหม่" เมื่อพูดคุยและถามไถ่เขา เธอนั้นดูเป็นมิตรและกระตือรือร้น
คำตอบของเฉินลู่นั้นเมื่อได้ฟังแล้วเหมือนเจือปนไปด้วยความอดทนอดกลั้น แต่สัมผัสได้ถึงความใกล้ชิดที่มีเพียงน้อยนิด
กระทั่งคุณย่าเอื้อมมือมาจับมือเขา เขาขมวดคิ้วและยากที่จะสังเกตเห็น
คุณย่าเอ่ย "อาลู่ หลังจากนี้อย่าได้รังแกหนิงหนิงอีก เมื่อเธอถูกรังแก เธอก็ต้องจัดการความรู้สึกด้วยตัวเธอเอง แต่การที่พึ่งพาตนเองนั้นมันทำให้รู้สึกบั่นทอน"
เฉินลู่ไม่สามารถรับประกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต แต่ในเวลานี้เขาไม่อาจปล่อยสวีซุ่ยหนิงไปได้ ดังนั้นเขาเพียงยิ้มให้แก่หญิงชราและไม่ได้เอ่ยปากให้สัญญาอะไร
"เมื่อหนิงหนิงยังเป็นเด็ก เธอเป็นเด็กที่เข้าใจเหตุและผลมาก พ่อและแม่ของเธอไม่ทุบตีเธอเลย ส่วนลูกพี่ลูกน้องคนอื่นนั้นกลับเติบโตภายใต้ไม้เรียว แต่หลายคราที่เธอต้องตกเป็นแพะรับบาปแทนลูกพี่ลูกน้องของเธอ" คุณย่าเอ่ยด้วยท่าทีเจ็บปวดหัวใจ "แต่แม้ว่าจะไม่ถูกทุบตี หลายครั้งก็ต้องถูกลงโทษ แต่เธอกลับทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นและเพิกเฉยต่อสิ่งรอบข้าง"
ลูกพี่ลูกน้องที่อยู่ด้านข้างเกาจมูกด้วยท่าทีเก้ๆกังๆ "ในตอนนั้นหนิงหนิงไม่ได้โดนตีเหมือนพวกเราเสียหน่อยนี่คะ"
"ไม่ใช่ว่าพวกเธอต้องพึ่งพิงเธอหรอกเหรอ ทุกครั้งที่เป็นช่วงวันปีใหม่ ต่างก็ก่อเรื่องโดยไม่นึกถึงกฎเกณฑ์ใดๆ" คุณย่าแสร้งทำเป็นโกรธเคือง
"นั่นไม่ใช่เพราะว่ายังเด็กหรอกเหรอคะ ตอนนี้รู้แล้วว่ามันผิด" ลูกพี่ลูกน้องหญิงเอ่ย "ความดีของหนิงหนิง ฉันจำได้หมดนั่นแหละค่ะ"
แต่ทว่าเฉินลู่กลับไม่ได้สัมผัสถึงความสนิทใดๆเลย เพียงแต่รู้สึกว่าสมองของสวีซุ่ยหนิงนั้นโง่เง่า เหตุใดต้องไปรับผิดแทนคนอื่น
สำหรับชีวิตในวัยเด็กของสวีวุ่ยหนิง เขาไม่ได้มีความสนใจเลยแม้แต่น้อย
สิ่งที่เฉินลู่ให้ความสนใจคือปัจจุบันของเธอ เรื่องในอดีตเขาไม่จำเป็นต้องรู้ เขาไม่ได้อยากจะรู้ด้วยซ้ำ
ดังนั้นแล้วเมื่อคุณย่าพูด เขาเองก็ไม่ได้เอ่ยอะไร
เมื่อหญิงชราเอ่ยถามถึงครอบครัวเขา เขาเพียงแต่ตอบกลับด้วยคำพูดสุภาพเพียงไม่กี่ประโยค
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เสน่ห์เหลือร้ายของคุณนายตระกูลเฉิน
แรกๆ สงสารนอ อ่านไปอ่านมาสงสารพอ...
เฉินลู่ไอ้คนเลว ส่วนสวีซุ่ยหนิงก็ใจอ่อนน่าสงสารเสียจริง...
ซุยหนิงย้ายที่อยู่เถอะ สงสารนาง เจอแต่ผู้ชายเลวๆ...
สวีซุยหนิงทำไมชอบเป็นของเล่นของเฉินลู่ล่ะ...
ช่วยอัพต่อด้วยค่ะ...