พอเห็นพวกเย่เทียนเดินผ่านบนเรือ คนเหล่านั้นก็ไม่แม้แต่จะมอง ส่วนพวกที่คุยกันตอนแรกก็รีบหยุดคุย แล้วขดตัวหนักยิ่งกว่าเดิม
ชายชาวต่างชาติหยุดเดิน พาพวกเขามาถึงในห้องๆหนึ่ง จากนั้นก็เดินออกไป ในห้องค่อนข้างแคบ สภาพก็ค่อนข้างโทรม แสงไฟก็ค่อนข้างมืด แถมห้องยังค่อนข้างอับชื้นด้วย ไม่มีเตียง มีแค่โซฟาเก่าๆ ตัวเดียว กับทีวีเก่าๆ อีกเครื่อง เมื่อเทียบกับใต้ท้องเรือที่เห็นเมื่อกี้ แบบนี้ก็ถือว่าใช้ได้แล้ว
ช่ายเหมยเป่าอยู่ดีกินดีจนชินแล้ว ตั้งแต่ที่ขึ้นมาบนเรือก็เอาแต่ขมวดคิ้ว บ่งบอกว่ารับสภาพที่เลวร้ายแบบนี้ไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ส่วนเย่เทียนก็รู้สึกว่าไม่เป็นไร โดยคิดว่าในเมื่อมาแล้วก็ต้องรับสภาพกันไป จึงนั่งไปที่โซฟาก่อน แล้วถามชิโปโตะไปว่า “บนเรือลำนี้นอกจากพวกเรายังมีคนอื่นด้วยเหรอ?”
“ครับ ต่างก็เป็นคนที่ลักลอบเข้าเมืองเหมือนกัน” ชิโปโตะตอบไปคำหนึ่ง จากนั้นก็เดินไปเปิดลิ้นชักที่อยู่ใต้ทีวีออก แล้วหยิบเหล้าขาวออกมาขวดหนึ่งอย่างเป็นธรรมชาติ และโบกมือให้เย่เทียน “เอามั้ยครับ?”
“มีเหล้าด้วย?” เย่เทียนอดที่จะตกใจไม่ได้ แต่ก็ได้โบกมือเพื่อบอกว่าไม่เอา
“แน่อยู่แล้วครับ” ชิโปโตะมองบน ระหว่างที่เทให้ตัวเองไปก็พูดไปว่า “เก็บเงินผมไปเยอะขนาดนั้น ถ้ายังบริการเหมือนผู้ลอบเข้าเมืองคนอื่นละก็ งั้นเงินก็สูญเปล่านะสิ”
ชิโปโตะชะงักไปแปบหนึ่ง ชิโปโตะก็พูดต่อว่า “นายหญิง ผมรู้ว่าคุณไม่เหมาะกับสภาพแบบนี้ แต่ต้องขออภัยจริงๆ จากนี้ยังต้องเดินทางอีกสองสามชั่วโมง ระยะทางค่อนข้างไกล คุณนั่งพักก่อนนะครับ”
พอได้ยินอย่างนั้น ช่ายเหมยเป่าก็ขมวดคิ้วขึ้นมา แต่ก็เดินไปอีกข้างของโซฟาที่เย่เทียนนั่งอยู่ ตบๆ โซฟาแล้วนั่งลงไป
ชิโปโตะยิ้มๆ เปิดทีวีสีดำ แล้วนั่งลงมาเหมือนกัน แล้วพูดคุยกับเย่เทียนไปเรื่อยเปื่อย
หลังรอไปประมาณสิบนาที ก็มีเสียงแตรที่ทุ้มต่ำดังขึ้นบนเรือขนส่งสินค้าจากนั้นก็ค่อยๆ เคลื่อนที่
ออกนอกประเทศมันง่ายแต่จะเข้าประเทศมันยาก ตอนนี้เรือขนส่งสินค้ายังอยู่ในน่านน้ำสากล จึงยังไม่ถูกตรวจสอบอะไร แต่หลังจากที่เวลาล่วงเลยไป เรือขนส่งสินค้าก็เจอเข้ากับเรือลาดตะเวณของอิตาลี่อยู่ดีๆตำรวจน้ำก็ได้ประกาศให้หยุดเพื่อรับการตรวจสอบ
ส่วนภายในห้อง เดิมทีเรือขนส่งสินค้าก็ไม่ได้แล่นเร็วมาก ส่ายไปมาตลอดทาง พอเรือหยุดลง ทั้งสามก็อยู่ในห้องก็รับรู้ได้ทันที เย่เทียนขมวดคิ้ว แล้วหันไปถามชิโปโตะที่อยู่ข้างๆ อย่างไม่เข้าใจ “เกิดอะไรขึ้น? หรือเจอตำรวจเขตแดนเข้าแล้ว?”
แต่ชิโปโตะก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไร จิบเหล้าขาวไปคำหนึ่ง แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “น่าจะเจอตำรวจน้ำเข้าแล้ว แต่ท่านผู้นำไม่ต้องห่วง อย่ามองว่าเรือลำนี้เล็ก แต่เบเน่นั้นขึ้นชื่อว่าสามารถไว้วางใจได้ในแถบนี้เลยครับ”
ชะงักไปแปบหนึ่ง ชิโปโตะก็อธิบายต่อว่า “และผมยังรู้มาว่าข้างบนของเบเน่ยังมีคนอยู่ ปกติแล้ว ถ้าเจอก็จะตรวจตามหน้าที่เท่านั้น ส่วนเราแค่ขึ้นไปแสดงตัวหน่อยก็พอแล้ว”
พอได้ฟังคำอธิบายของชิโปโตะ เย่เทียนถึงสบายใจขึ้นมาบ้าง ในใจก็หมดคำจะพูด ทั้งที่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาแอบลักลอบเข้าเมือง แต่ดันมาเจอตำรวจน้ำซะได้ ดวงนี่มันซวยใช้ได้เลย….
ในตอนนี้ เรือลาดตะเวณเขตแดนที่อยู่ด้านนอกก็ใกล้เรือขนส่งสินค้าเข้ามา ตำรวจน้ำที่แต่งตัวเต็มยศขึ้นมาบนเรือสินค้าพร้อมปืนกลเบาในมือ จ้องมองไปยังกลุ่มคนที่ยืนอยู่บนเรือด้วยสีหน้าที่หวาดระแวง หนึ่งในคนที่นำทีมก็ได้ตะโกนขึ้นมาว่า “ใครเป็นกัปตัน?”
“ผมครับ ผมครับ” เบเน่คนนั้นรีบก้าวออกไป โบกไม้โบกมือ
“เบเน่ ที่แท้ก็นายนี่เอง” พอเห็นคนที่ออกมา หัวหน้าตำรวจน้ำก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา น้ำเสียงก็อ่อนลงเยอะ “เรียกทุกคนบนเรือออกมา ไปรวมกันที่ดาดฟ้า”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่