“อัฐยายซื้อขนมยาย ในเมื่อมันเป็นปัญหาของหวั่นชิง ถ้าอย่างนั้นก็ต้องแก้ไขที่ตัวของหวั่นชิงก่อน”
รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นที่มุมปากของจางเจี้ยนถัง และสองตาจ้องเขม็งไปที่เฉินหวั่นชิง “ถ้าหากผมจำไม่ผิด คณะกรรมการของเราได้ตั้งกฎหลังจากที่เราจัดตั้งคณะกรรมการแล้ว”
“กฎที่ว่าก็คือ ถ้าหากบริษัทต้องประสบความสูญเสียงอย่างหนัก คณะกรรมการของเรามีสิทธิ์ที่จะเลือกผู้บริหารคนใหม่?”
เฉินหวั่นชิงตกใจทันทีเมื่อได้ยินคำนี้ แต่เธอรู้ดีว่าสิ่งที่เธอกังวลที่สุดกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว
“ประธานจางพูดถูกครับ เรามีกฎนี้จริงๆ ครับ”
เฉินหยังต่อบทสนทนาด้วยรอยยิ้ม ในที่สุดการประชุมในวันนี้ก็เข้าสู่ประเด็นสำคัญของเขาแล้ว!
“แต่หนูไม่เห็นด้วยค่ะ!”
เฉินหวั่นชิงปฏิเสธทันที “กฎข้อนี้กล่าวถึงการประสบความสูญเสียครั้งใหญ่ของบริษัทก็จริงๆ แต่ตอนนี้ตลาดหุ้นยังไม่เปิดนะคะ แล้วใครจะการันตีได้ว่าหุ้นมันจะตกจริง!”
“ดังนั้น หนูคิดว่าเราไม่จำเป็นต้องเลือกผู้บริหารคนใหม่ และหนูจะจัดการเรื่องนี้เอง!”
“หวั่นชิง เกลือที่เรากินมันมากกว่าข้าวสารที่เธอกินซะอีก เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว ต่อให้เธอหยุดพายุลูกนี้ได้ แต่ราคาหุ้นมันก็จะตกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอน”
เกาหยุนเสียงทำเสียงฮึดฮัด “ด้วยนิสัยของเหล่านักข่าวพวกนั้น พวกเขาจะไม่หยุดรายงานข่าวนี้ต่ออย่างแน่นอน ถึงเวลานั้น มันอาจไม่ใช่แค่กระทบกับราคาหุ้น แต่มันจะกระทบไปทั้งชื่อเสียงของบริษัท”
“เรื่องนี้มันเสี่ยงต่อผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นอย่างพวกเรา ผมขอสนับสนุนให้มีการเลือกผู้บริหารคนใหม่!”
“ไม่ต้องเถียงกันอีก เราโหวตคะแนนกันเลย!”
จางเจี้ยนถังโบกมือ “คนที่เห็นด้วยกับการเลือกผู้บริหารคนใหม่ช่วยยกมือขึ้น!”
ในขณะที่พูด เขาก็ยกมือขึ้นอย่างมั่นใจ
จากนั้นตามด้วย เกาหยุนเสียง เถาเจิ้งหยัน และเฉินหยัง ทั้งสามยกมือเพื่อแสดงความเห็นชอบในการเลือกผู้บริหารคนใหม่
ส่วนนายธนาคารทั้งสามคนนั้นไม่เกี่ยวด้วย พวกเขามีหน้าที่มากดดันสถานการณ์เท่านั้น ไม่มีสิทธิ์ในการแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องภายในของบริษัทแซ่เฉิน ดังนั้นพวกเขาทั้งสามจึงเฝ้าดูสถานการณ์อย่างเงียบๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ
ดูเหมือนจะไม่มีเรื่องเซอร์ไพรส์ใดๆ อีก และการโหวตคะแนนที่วางแผนมาล่วงหน้านี้ก็ได้คำตอบอย่างชัดเจน ซึ่งพวกเขาตั้งใจจะให้เฉินหยังเป็นผู้ชนะ
“เอาล่ะ ในเมื่อเราทุกคนเห็นด้วยกับการเลือกผู้บริหารคนใหม่ ฉะนั้น ต่อจากนี้เราจะมาเลือกผู้บริหารคนใหม่กัน!”
จางเจี้ยนถังทั้งสี่ต่างก็มองหน้ากันและสามารถมองเห็นรอยยิ้มในดวงตาของกันและกัน
เมื่อถึงจุดนี้ เฉินหวั่นชิงได้แต่ก้มหน้าโดยไม่พูดอะไร เธอรู้ดี ครั้งนี้เธอแพ้แล้ว และเธอพ่ายแพ้อย่างขาดลอย ไม่มีทางที่จะโต้ตอบได้ด้วยซ้ำ
เธอเกลียด!
เกลียดเฉินหยังผู้ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของเธอคนนี้ ทำไมเขาถึงใจดำได้ขนาดนั้น เขาไม่เคยนึกถึงความสัมพันธ์ที่ผ่านมาเลยหรือ?
เธอเสียใจ!
เสียใจที่เธอเชื่อใจเย่เทียน เธอไม่ควรเชื่อคำพูดของเย่เทียนเลย ถ้าผู้ชายเชื่อถือได้จริงๆ แม่หมูก็คงปีนขึ้นต้นไม้ได้แล้ว!
เธอใช้ความอดทนทั้งหมดที่มีฝืนกลั้นน้ำตาไม่ให้ร่วงหล่น ทั้งสมองของเธอเต็มไปด้วยภาพในวันที่เฉินจงเหอมอบบริษัทแซ่เฉินให้กับเธอ
ซึ่งมันผ่านมายังไม่นานเลย แต่เธอต้องลงจากตำแหน่งแล้ว แล้วเธอจะมีหน้ากลับไปหาพ่อได้อย่างไร? เธอจะมีหน้ากลับไปหาคุณปู่ของเธอได้อย่างไร?
“ผมขอเสนอให้เสี่ยวหยังเป็นผู้เข้ารับตำแหน่งผู้บริหารต่อ ไม่ทราบว่าทุกท่านเห็นด้วยกับผมไหม?”
เกาหยุนเสียงทำหน้าที่ผลักดันเฉินหยัง
“ผมเห็นด้วย”
จางเจี้ยนถังยิ้มจางๆ “ถึงยังไง เสี่ยวหยังก็เป็นคนของตระกูลเฉิน ผมเชื่อว่าพี่ชังไห่ต้องเห็นด้วยอยู่แล้ว”
“ผมก็เห็นด้วย” เถาเจิ้งหยันพยักหน้าเห็นด้วย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่