ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่ นิยาย บท 323

“นี่ไอ้หนู ยอมให้จับแต่โดยดีเถอะ!”

ทันทีที่ฮั่วยั่นจือพูดจบ นักบู๊ระดับเหลืองสี่คนที่ล้อมรอบเย่เทียนไว้ก็หัวเราะออกมา พร้อมกับทำหน้าที่ไม่เป็นมิตรเท่าไหร่

“แค่เศษสวะอย่างพวกคุณก็คิดที่จะให้ผมยอมจำนนแล้วอย่างนั้นเหรอ? กลับไปฝึกอีกหลายสิบปีเถอะ!”

เย่เทียนไม่แม้แต่จะมองคนทั้งสี่ สองมือไขว้หลัง พร้อมกับทำหน้าราวกับยอดฝีมือ

“บัดซบ!” นักบู๊ระดับเหลืองทั้งสี่คำรามออกมาด้วยความเดือดดาล

ตอนอยู่ต่อหน้าฮั่วยั่นจือพวกเขาอาจจะทำตัวต้อยต่ำ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่มีความภาคภูมิใจเลยสักนิด

พฤติกรรมที่เย่เทียนแสดงออกมานั้น มันก็ทำให้ไฟโทสะในใจของทั้งสี่ลุกโชนขึ้นมาทันที!

ทันใดนั้น ทั้งสี่ก็ซัดหมัดซัดฝ่ามือ ผนึกกำลังจากทั้งสี่ทางโจมตีใส่เย่เทียนราวกับสัตว์ร้าย เหมือนต้องการจัดการเย่เทียนที่ทำตัวสามหาวให้ได้ในทีเดียว

“ถึงคนอย่างคุณจะปากดีสักแค่ไหน แต่เมื่อมาอยู่ต่อหน้าพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่มันก็ไร้ความหมาย ฉันจะดูซิว่าคุณจะเอาอะไรมารับมือกับการผสานกำลังของพวกเขาสี่คน!”

ฮั่วยั่นจือที่เห็นอย่างนั้น เธอก็ทำหน้าได้ใจยิ่งกว่าเดิม แววตาอันเป็นประกายที่มองไปยังเย่เทียนก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความดูถูกดูแคลน

“มดปลวกยังไงก็เป็นแค่มดปลวกวันยังค่ำ ยังไงก็ไม่มีทางล้มช้างได้หรอก!”

เย่เทียนส่ายหน้าเบาๆ คัมภีร์หวงในร่างกายไหลเวียนออกมา สายลมอันรุนแรงปะทุออกจากร่างอย่างกะทันหัน และหมุนวนออกไปทั่วทุกสารทิศ

ฟู่ว์!

ทันใดนั้น เหมือนเกิดพายุระดับสิบแปดขึ้นภายในบ้าน นักบู๊ระดับเหลืองสี่คนที่พุ่งเข้าใส่เย่เทียน ก็ต้องถอยกลับด้วยความเร็วสองเท่าที่พุ่งเข้ามา

พวกเขายังเป็นแบบนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฮั่วยั่นจือเลย

ฮั่วยั่นจือที่คิดว่าชัยชนะอยู่ในมือแล้วก็คาดไม่ถึงว่ามันจะหักมุมแบบนี้ รู้สึกตาพร่า จากนั้นก็ถูกแรงลมพัดลอยไปกระแทกเข้ากับกำแพงที่อยู่ด้านหลังอย่างแรง

“เฮ้ย?!”

จู่ๆ เย่เทียนก็ส่งเสียงตกใจออกมา สายตาที่มองไปยังฮั่วยั่นจือก็ประหลาดยิ่งกว่าเดิม

ไม่ใช่อะไร เพราะเมื่อกี้นี้ เขาก็ได้รู้ว่าแท้จริงแล้วฮั่วยั่นจือก็เป็นนักบู๊คนหนึ่งเหมือนกัน!

แค่ว่ารังสีของฮั่วยั่นจือนั้นอ่อนมาก คาดว่าน่าจะเพิ่งเข้าสู่เส้นทางนักบู๊ได้ไม่นาน เป็นแค่ระดับเหลืองชั้นล่างทั่วไปก็เท่านั้น

ไม่ว่ายังไงสายลมที่รุนแรงนี้ก็มาเร็วและไปเร็วยิ่งกว่าเดิม เพียงพริบตาเดียวก็หายไปแล้ว

แต่ภายในห้องตอนนี้กลับเละเทะไปหมดแล้ว ฮั่วยั่นจือกับอีกสี่คนต่างกำลังล้มนอนอยู่บนพื้นที่เย็นเฉียบ ภายในห้องมีเพียงเย่เทียนคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่!

“พะ พวกแกเป็นอะไรกัน? ยังไม่รีบลุกขึ้นมาอีก!”

ฮั่วยั่นจือลุกขึ้นด้วยสีหน้าที่มึนงง พอเห็นสภาพของคนทั้งสี่ที่นอนอยู่บนพื้นแล้ว ความรู้สึกที่ไม่สบายใจก็มีมากขึ้นไปอีก จึงรีบตะโกน เพื่อหวังที่จะปลุกพวกเขาให้ตื่น

แต่ที่น่าเสียดายคือ ภายใต้ความตั้งใจของเย่เทียน นักบู๊ระดับเหลืองทั้งสี่คนได้ถูกชี่ทิพย์ของเขากดดันจนหมดสติเป็นที่เรียบร้อย แล้วฮั่วยั่นจือจะไปปลุกพวกเขาให้ตื่นได้ยังไง

“ไม่ต้องปลุกให้เหนื่อยหรอกครับ อย่างน้อยหนึ่งถึงสองชั่วยาม ไม่อย่างนั้นเศษสวะสี่คนนี้ก็ไม่มีทางฟื้นขึ้นมาได้หรอก!”

เหมือนเพิ่งทำเรื่องเล็กที่ไม่มีอะไรให้พูดถึง เย่เทียนก็ได้ยักไหล่อย่างสบายๆ

พอเห็นเย่เทียนที่ทำตัวผ่อนคลาย แล้วนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ ในหัวของฮั่วยั่นจือก็มีความเป็นไปได้ทีน่าสะพรึงกลัวผุดขึ้นมา

“หรือว่าคุณเองก็…ไม่! มันเป็นไปไม่ได้!”

“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ล่ะครับ?”

เย่เทียนยิ้มเยาะออกมาที่มุมปาก แล้วพูดอย่างขบขันว่า “ถูกต้อง! ผมเองก็เป็นนักบู๊เหมือนกัน! และการฝึกฝนของผมยังเหนือกว่าพวกเขามากด้วย!”

“เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!”

ฮั่วยั่นจือตะโกนออกมาอย่างเหมือนกับคนบ้า “พวกเขาสี่คนเป็นลูกน้องมือดีที่ฉันได้มาอย่างไม่ง่าย แล้วแกจะไปแกร่งกว่าพวกเขาได้ยังไง?”

“มือดี?”

เย่เทียนเบ้ปากอย่างดูแคลน จากนั้นก็พูดเย้ยไปว่า “กะอีแค่นักบู๊ระดับเหลืองสี่คน แม้แค่แรงกดดันจากชีทิพย์ของผมยังทนรับไม่ได้ แล้วยังจะเรียกมือดีได้อีกเหรอ? ผมว่าก็เป็นได้แค่เศษสวะสี่ตัวเท่านั้นแหละ!”

“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้? ทำไม? ทำไม!”

ร่างกายของฮั่วยั่นจือกระตุกไปทีหนึ่ง สีหน้าก็หม่นหมอง แล้วแขนขาก็เริ่มสั่นอย่างควบคุมไม่ได้

บอกได้เลยว่าครั้งนี้เธอนั้นไตร่ตรองทุกอย่างมาเป็นอย่างดีแล้ว ถึงขั้นคาดเดาว่าเย่เทียนน่าจะไม่ธรรมดา

แต่ไม่ว่าจะคิดยังไง เธอก็ไม่มีทางนึกถึงว่าเย่เทียนจะเป็นนักบู๊ที่เก่งกว่านักบู๊นับหมื่น และยิ่งนึกไม่ถึงว่าการฝึกฝนของเขาจะสูงกว่าสี่คนนี้

“ทำไมถึงมี ทำไมเยอะขนาดนี้”

เย่เทียนทำเสียงฮึดฮัด สายตาสีดำดุจเหยี่ยวของเขาจ้องเขม็งไปยังสองตาของฮั่วยั่นจือ

“คุณคิดว่าตัวเองวางแผนไว้เป็นอย่างดี คำนวณทุกอย่างไว้หมดแล้ว แต่ในความเป็นจริง คุณมันก็แค่กบในกะลา ช่างน่าขันสิ้นดี”

“ฮั่วยั่นจือ เดิมทีผมก็เห็นแก่พฤติกรรมที่คุณแสดงออกมาเมื่อก่อนหน้านี้ ผมกำลังคิดอยู่ว่าจะผูกมิตรกับคุณดีมั้ย แต่ในเมื่อคุณเล่นไม่ซื่อแบบนี้ งั้นก็อย่าหาว่าผมใจร้ายแล้วกัน!””

ระหว่างที่พูด เย่เทียนก็ค่อยๆ ก้าวเท้า เดินตรงไปที่ ฮั่วยั่นจือ

พอพูดอย่างนั้นออกไป ฮั่วยั่นจือก็เหมือนราวกับตกเข้าไปอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง จนเย็นเยือกไปทั้งตัว

“นะ นี่แกคิอจะทำอะไร?”

พอเห็นเย่เทียนที่ทำหน้าไม่เป็นมิตรกำลังเดินตรงเข้ามา ฮั่วยั่นจือก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที

“ทำอะไรนะเหรอ?”

เย่เทียนเหลือบมองไปที่หน้าอกของฮั่วยั่นจือ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายว่า “ก่อนหน้านี้คุณยังอ่อยผมอยู่เลยไม่ใช่เหรอครับ? ตอนนี้คุณกลับตกมาอยู่ในมือของผมจริงๆแล้ว คุณคิดว่าผมยังจะทำอะไรได้อีกอย่างนั้นเหรอครับ?”

ระหว่างที่พูด เย่เทียนก็เดินมาถึงตรงหน้าของฮั่วยั่นจือแล้วเขาหิ้วเธอขึ้นมาทันที ให้เธอหันหลังให้ตน แล้วดันเธอไปชิดไว้ที่กำแพงอย่างแรง แนบชิดอยู่ด้านหลังเธอ

ก่อนหน้านี้ฮั่วยั่นจือนั้นถูกแรงกดดันจากชี่ทิพย์ที่เย่เทียนปล่อยออกมาจนหมดแรงไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องต่อต้านเลย แม้แต่ขาทั้งสองข้างยังอ่อนแรงจนยืนแทบไม่ไหวแล้ว

โชคดีที่เย่เทียนตามเข้ามาทันที ทำให้บั้นท้ายของฮั่วยั่นจือมีที่ยึดเหนี่ยวขึ้นมานิดหนึ่ง และยังพอที่จะยืนได้

แต่ทว่า พอเป็นแบบนี้มันก็เข้าทางเย่เทียนเลย

เมื่อรับรู้ถึงสิ่งผิดปกติที่อยู่ด้านหลัง ฮั่วยั่นจือก็หน้าซีดขึ้นมาทันที ดวงตาที่เป็นประกายได้มีของเหลวเอ่อล้นออกมา ไม่กล้าจินตนาการต่อเลยว่าตนเองต้องพบเจอกับความอัปยศแบบไหนหลังจากนี้

“หรือว่าความบริสุทธิ์ของฉัน จะถูกไอ้หมอนี่พรากไปในวันนี้อย่างนั้นเหรอ?”

ฮั่วยั่นจือกัดริมฝีปากแน่น พยายามไม่ให้ตัวเองส่งเสียงร้องไห้ออกมา

คนที่เป็นถึงสาวมหัศจรรย์ของวงการธุรกิจของแห่งจ๊กกลางที่ได้รับการยอมรับ เป็นถึงคนที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้สืบทอดรุ่นต่อไปของตระกูลฮั่ว เธอจึงมีความยโสอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

แต่เมื่อเรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว ตอนที่มาอยู่ต่อหน้าเย่เทียนที่แสดงความแข็งแกร่งออกมา เธอก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะหยิ่งยโสอีกต่อไป!

พอเห็นฮั่วยั่นจือที่อดกลั้นไม่ยอมร้องไห้ออกมา เย่เทียนก็ยิ้มอย่างชั่วร้ายออกมาที่มุมปาก

“ชีวิตคนเราไม่ว่าที่ไหนก็มีเซอร์ไพรส์ทั้งนั้น นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าทั้งที่ผมเพิ่งมาจ๊กกลางได้ไม่กี่วัน ก็จะได้ลิ้มรสคุณหนูฮั่วที่เป็นดั่งนางฟ้าของเหล่าผู้คลั่งไคล้ซะแล้ว”

แววตาของฮั่วยั่นจือเต็มเปี่ยมไปด้วยความสิ้นหวัง เธอหายใจเข้าลึกๆ น้ำเสียงก็มีความสั่นเครือไม่น้อย

“คะ คนแซ่เย่ ไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ อยากฆ่าอย่างทรมารยังไงก็เอาให้เต็มที่ ถ้าฮั่วยั่นจือขมวดคิ้วแม้แต่ทีเดียว ก็ถือว่าฉันแพ้!”

ความยโสในใจ มันก็ทำให้ฮั่วยั่นจือไม่ยอมละทิ้งความหยิ่งยโสที่มีได้

พอเย่เทียนได้ยินอย่างนั้น ก็นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วหญิงสาวยังเข้มแข็งได้ขนาดนี้ เขาจึงรู้สึกลำบากใจขึ้นมา….

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่