ช่วงประมาณห้าโมงเย็น เย่เทียนที่กลับมารออยู่ที่บ้านของตระกูลซูนานหลายชั่วโมงก็ได้รับสายจากเหลียงเหวินเห้าอีกครั้ง
“เสี่ยวเย่ ฉันมาถึงจ๊กกลางแล้ว เธออยู่ไหน? เดี๋ยวฉันเอาของไปเก็บที่โรงแรมก่อนแล้วจะไปรับเธอ”
เหลียงเหวินเห้าแสดงออกถึงความหมายของสำนวนที่ว่าสายฟ้าและพายุที่โหมกระหน่ำได้อย่างชัดเจนมาก พูดจาไม่มีความเกรงใจเลย
“ไหนบอกว่ากลางคืนไม่ใช่เหรอครับ? ต้องรีบขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”
คิ้วของเย่เทียนขมวดเข้าหากันอย่างควบคุมไม่ได้
“เฮ้อ การพนันนั่นจะเริ่มอย่างเป็นทางการตอนหนึ่งทุ่ม จากตรงนี้ไปที่เมืองนั่นก็ใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่า”
เหลียงเหวินเห้ายิ้มออกมาด้วยความตกใจ “พอเราไปถึงแล้วกินข้าวเสร็จ คาดว่าก็น่าจะถึงเวลาพอดี”
“โรงแรมที่คุณจองไว้อยู่ที่ไหนครับ? เราไปเจอกันตรงโรงแรมที่คุณพักก็ได้ครับ!”
หลังจากที่วางสาย เย่เทียนก็ไปพูดกับซูเหมย บอกว่าคืนนี้จะออกไปกินข้าวกับเพื่อน จากนั้นก็ขับรถไปยังโรงแรม
ซูเหมยอยากรู้ว่าเย่เทียนไปมีเพื่อนในจ๊กกลางตั้งแต่ตอนไหน แต่ก็ไม่ได้ถามเพราะรู้กาลเทศะดี ทำให้เย่เทียนไม่ต้องมาไล่อธิบาย
เขามาเจอกับเหลียงเหวินเห้าที่หน้าโรงแรมได้สำเร็จ หลังจากที่เอาสัมภาระไปเก็บแล้ว คนกลุ่มนี้ก็มุ่งไปยังเมืองที่จะมีการพนันหยก
เหลียงเหวินเห้าไม่มีทางมาที่นี่คนเดียวอยู่แล้ว เมื่อตัดบอดี้การ์ดร่างใหญ่สองคนที่ใส่สูทออกไปแล้ว ยังมีชายวัยกลางคนที่ไว้หนวดไว้เคราอีกคนตามมาด้วย
ระหว่างทางที่ยังไม่ถึงเมือง เหลียงเหวินเห้าก็ได้แนะนำคร่าวๆ ชายวัยกลางคนนั้นแซ่หยิว ชื่อฉี เขาคือปรมาจารย์พนันหินที่ถูกเชิญมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะ
นั่นจึงทำให้เย่เทียนอดไม่ได้ที่จะเหลียวมองหยิวฉีไปหลายที หลังจากที่ได้พบปะกับเหลียงเหวินเห้าไปหลายครั้ง เย่เทียนกรู้แล้วว่าคนๆนี้ค่อนข้างตาถึง ไม่ใช่ว่าใครก็จะเข้าตาเขาได้
ตอนนี้การที่เหลียงเหวินเห้าให้ความสำคัญกับหยิวฉีถึงขนาดนี้ คิดว่าก็น่าจะมีความสามารถระดับหนึ่งเลย
นอกเหนือจากนั้น เหลียงเหวินเห้าก็ได้อธิบายคร่าวๆ ว่าทำไมเมืองที่เล็กแบบนี้ถึงมีการจัดการพนันหินขึ้นได้
หมูบ้านนั้นตั้งอยู่ค่อนข้างใกล้กับเหมืองหยก ก่อนที่ข่าวของเหมืองหยกจะแพร่งพรายออกไป คนในพื้นที่มากมายก็ฉวยโอกาสแอบเก็บหินหยาบออกไปไม่น้อยเลย
ถึงแม้ตอนนี้เหมืองหยกจะถูกรัฐบาลเข้ามาควบคุมแล้ว แต่พวกหินหยาบพวกนี้ก็ไม่มีใครบังคับให้เอาไปคืน
ผู้นำของเมืองนั่นก็เป็นคนที่ฉลาด พอเห็นแต่ละคนต่างก็เก็บหินหยาบออกมาได้มากมายจึงถือโอกาสจัดงานพนันหินขึ้นมา
หนึ่งคือสามารถทำให้ทุกคนยอมเอาหินหยาบที่อยู่ในมือออกมา ส่วนอีกเหตุผลก็เพื่อเพิ่มGDPให้กับเมือง แล้วมีเหตุผลอะไรที่จะไม่ทำล่ะ?
เย่เทียนที่ฟังแล้วก็อดไม่ได้ที่จะชู้นิ้วโป้งให้ผู้นำเมืองคนนี้ในใจเลย ด้วยสติปัญญาระดับนี้ แล้วต้องมาอยู่แบบนี้มันช่างเสียของจริงๆ ถ้าออกไปทำธุรกิจ อย่าางน้อยก็น่าจะหาเงินได้ไม่ต่ำกว่าสิบล้านแน่นอน
นอกจากนั้น เย่เทียนก็เข้าใจว่าทำไมเหลียงเหวินเห้าถึงต้องเร่งรีบที่จะไปให้ทันงานพนันหินนั่นให้จงได้
การที่เขามาในครั้งนี้ไม่ได้มาเพื่อพนันหิน แต่ต้องการที่จะถือโอกาสนี้กักตุนหินหยาบไว้ประมาณหนึ่ง รอให้ผ่านไปสักพักค่อยปล่อยของออก และหากำไรจากส่วนต่างตรงนั้น
ในภาวะเงินเฟ้อแบบนี้ ราคาทองพุ่งสูง ของจำพวกหินหยก หยกเขียวก็มีโอกาสที่ราคาจะปรับตัวตามทองคำด้วยเหมือนกัน
ถ้าพนันไปเลยมันจะเสี่ยงเกินไป มันไม่เหมาะกับคนที่ทำงานอย่างมีหลักการแบบเหลียงเหวินเห้าเลย แต่ถ้าปล่อยโอกาสนี้หลุดมือไป มันก็ไม่ใช่ทางของนักธุรกิจที่ตามล่าผลประโยชน์เหมือนกัน
“คุณอาเหลียง แล้วคุณอาเตรียมเงินสำหรับงานในคืนนี้ไว้เท่าไหร่เหรอครับ?”
หลังจากที่เข้าใจทุกอย่างแล้ว เย่เทียนก็อดไม่ได้ที่จะหันไปถามเหลียงเหวินเห้าด้วยความอยากรู้
“ทำไม? เสี่ยวเย่ก็อยากตุนของไว้เหมือนกันอย่างนั้นเหรอ? ของพวกนี้ทุนมันค่อนข้างหนัก ถ้าราคามันไม่ดี ก็อาจจะพังคามือไปเลยก็ได้”
เหลียงเหวินห้ามองเย่เทียนด้วยสายตาที่ค่อนข้างประหลาด แล้วพูดเตือยนด้วยความหวังดี
คนอื่นอาจจะไม่รู้ประวัติของเย่เทียน แต่คนที่มาจากเจียงหนันอย่างเขาจะไม่รู้ได้ยังไง?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่