กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ นิยาย บท 12

“เจ้าว่ามา จะให้ทำอะไร”

“เมื่อวานข้านอนไม่ค่อยหลับ อีกประเดี๋ยวข้าจะงีบหลับสักครู่ ท่านห้ามลงโทษข้านะเจ้าคะ”

“ได้สิ ไม่มีปัญหา”

ตาเฒ่าผู้นี้เป็นคนตรงไปตรงมา คงไม่ได้คิดจะเล่นแง่อะไรกระมัง

นางมองอาจารย์ซั่งกวนที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง แม้ว่าภายนอกเขาจะดูสงบและอบอุ่นละมุนราวกับสายลม แต่นางรู้ว่าลมหายใจของซั่งกวนฉู่กระชั้นถี่ขึ้น ดูเหมือนเขาเองก็อยากจะฟังบทสุดท้ายของกวีบทนี้ด้วยเช่นกัน

เอาเถิดน่ะ เพื่อหนุ่มรูปงาม ท่องก็ท่อง

“ทุ่งท้องข้าวฟ่าง เมล็ดฟ่างละลานตา ราบช้าเป็นทิวแถว แนวกลางราวฟ้าครึ้ม คนรู้จักข้า กล่าวว่าข้าเป็นทุกข์ คนไม่รู้จักข้ากล่าวว่าข้ากำลังแสวงหา สวรรค์ช่างกว้างใหญ่! ใครหนอที่สรรค์สร้าง”

“เยี่ยม... ยอดเยี่ยมเหลือเกิน... กวีบทนี้ใช้สำนวนโวหารซ้ำกัน สะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกทอดถอนใจที่แตกต่างกันทั้งสามอย่างของตัวเอกหลังจากการล่มสลายของราชวงศ์โจว”

“ท่านอาจารย์ เช่นนั้นข้าหลับได้แล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ”

“เจ้ารู้กวีบทนี้ได้อย่างไรรึ”

“เอ่อ... ก็แค่อ่านเจอจากตำราโบราณโดยบังเอิญน่ะเจ้าค่ะ” นางไม่ใช่คนโง่ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะบอกว่าตนเองเคยท่องบทกวีทั้งหมดนี้มาก่อน

“ตำราโบราณเล่มไหนรึ ไปเจอมาจากที่แห่งใด งานเขียนเมื่อสมัยก่อนสูญหายไปหมดแล้วมิใช่หรือ”

“มันผ่านมานานจนลืมไปแล้วเจ้าค่ะว่าอ่านมาจากที่ไหน แต่นี่ไม่ใช่งานเขียนสมัยก่อนนะเจ้าคะ เป็นงานเขียนที่มีคนแปลเอาไว้”

แล้วทุกคนก็เข้าใจขึ้นมาในฉับพลัน

พวกเขาก็แค่ประหลาดใจ งานเขียนก่อนหน้านั้นหายสาบสูญไปนานแล้ว คนสมองขี้เลื่อยอย่างนางจะไปอ่านเข้าใจได้อย่างไร

แต่กู้ชูหน่วนก็โชคดีมากจริงๆ ที่เคยท่องบทกวีที่สูญหายไปแล้วอย่างบทกวีสู่หลีได้ทุกบท

ณ ที่แห่งนี้มีเพียงดวงตาที่ลึกล้ำราวกับบึงน้ำของซั่งกวนฉู่เท่านั้นที่ฉายแววแห่งความสงสัย ราวกับไม่เชื่อคำพูดของนาง

กู้ชูหน่วนถามอีกครั้งว่า “ท่านอาจารย์ ข้าไปนอนได้แล้วใช่หรือไม่”

“เลิกเรียนได้” อาจารย์สวีตะโกนเสียงดัง

รอยยิ้มบนใบหน้าของกู้ชูหน่วนหยุดชะงัก “เลิกเรียน?”

“เที่ยงแล้ว ไม่เลิกเรียนแล้วจะทำอะไรรึ หรือว่าจะไม่กินข้าวกลางวัน”

“แล้วที่ข้าท่องไปเมื่อครู่มันไม่สูญเปล่าหรอกหรือ”

กู้ชูหน่วนรีบคว้าแขนเสื้อของอาจารย์สวีไว้แล้วยิ้มแหยๆ “ท่านอาจารย์ ในเมื่อตอนนี้เลิกเรียนแล้ว เช่นนั้นก็ขอให้ข้าเลื่อนไปหลับช่วงบ่ายได้หรือไม่เจ้าคะ”

“ตอนบ่ายเป็นชั้นเรียนของอาจารย์ซั่งกวน ถ้าเขาเห็นด้วยข้าก็ไม่ว่าอะไร”

"......"

มันอะไรกันเนี่ย...

นางเสียรู้ให้เขางั้นรึ

เมื่อหันไปมองอาจารย์ซั่งกวนอีกครั้งนางก็เห็นรอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏอยู่บนใบหน้าที่สุภาพเรียบร้อยของเขา ดูประดุจสายลมแห่งวสันตฤดูที่ชวนให้ลุ่มหลง เขาถือหนังสือไว้ด้วยมือทั้งสองข้างขณะที่เดินออกจากห้องเรียน เหลือไว้ให้เห็นเพียงแค่แผ่นหลังที่สง่าผ่าเผย

กู้ชูหน่วนนิ่งงัน

ผู้ชายที่งดงามขนาดนี้ ถ้าเอากลับไปที่เรือนได้คงจะเป็นบุญตายิ่งนัก

“นี่ กู้ชูหน่วน อย่าคิดว่ารู้บทกวีสู่หลีแค่สองสามบทแล้วจะเหยียดผู้อื่นได้นะ ข้าจะบอกให้ว่าท่านอาจารย์ซั่งกวนเป็นของข้า ถ้าเจ้ากล้ามองเขาอีกละก็ ระวังไว้เถิด ข้าจะควักลูกตาของเจ้าออกมา”

กู้ชูหน่วนจงใจเพิ่มเสียง ตะโกนออกไปว่า “ท่านอาจารย์ซั่งกวน มีคนบอกว่าท่านเป็นคนของเขาน่ะเจ้าค่ะ”

“กู้ชูหน่วน เจ้า... เจ้าพูดเหลวไหลอะไรกัน ท่านอาจารย์ซั่งกวน ท่านอย่าไปฟังเรื่องไร้สาระของนางนะ”

“ท่านอาจารย์ซั่งกวน องค์หญิงตรัสว่าที่ข้าพูดไปเมื่อครู่เป็นเรื่องไร้สาระ องค์หญิงไม่ชอบท่านแน่ะ”

องค์หญิงตังตังโกรธจนใบหน้าเล็กๆ บิดเบี้ยว

นางบอกว่านางชอบอาจารย์ซั่งกวนตั้งแต่เมื่อใดกัน

นางไม่มีเวลามาสั่งสอนกู้ชูหน่วนและรีบตามซั่งกวนฉู่ไปเพื่ออธิบายทุกอย่างให้เขาฟัง

“แม่สาวอัปลักษณ์อย่างเจ้าก็พอมีฝีมือนี่นา คิดไม่ถึงว่าจะท่องหนูไป(สู่หลี)ได้” เซี่ยวอวี่เซวียนหัวเราะหึหึ ทิ้งตำราในมือเอาไว้และเดินตามกู้ชูหน่วนออกไปจากห้องเรียน

กู้ชูหน่วนกลอกตา “มันคือสู่หลี”

“โธ่ จะไปสนอะไรว่าหนูหรือไม่หนู ว่าแต่ทำไมช่วงหลังของทั้งสามบทถึงเหมือนกันอย่างนั้นหรือ ช่วงแรกของกลอนก็คล้ายกันมาก”

“เจ้าไม่ได้ยินที่อาจารย์พูดว่ามันคือสำนวนโวหารซ้ำกันหรือ”

“สำนวนโวหารซ้ำคืออะไร”

"......"

กู้ชูหน่วนคิดว่านางเป็นคนที่ไม่รู้หนังสือแล้วนะ แต่พอมาเจอกับเซี่ยวอวี่เซวียน นางถึงได้รู้ว่าตนเองเก่งแค่ไหน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์