“อา... ให้พวกข้าเรียกแม่สาวอัปลักษณ์ชื่อเสียงฉาวโฉ่ว่าพี่ใหญ่ มันจะ...”
พลั่ก
เซี่ยวอวี่เซวียนถีบเข้าไปอีกหนึ่งทีและเอ่ยอย่างมีน้ำโหว่า “ใครกล้าเรียกนางว่าหัวขี้เลื่อยอีกข้าจะเจื๋อนเข้าให้ แล้วก็จำไว้ด้วย ในโลกนี้มีแค่ข้าคนเดียวเท่านั้นที่เรียกนางว่าแม่สาวอัปลักษณ์ได้ ถ้าพวกเจ้ากล้าสบประมาทนางอีกละก็ ระวังหัวของพวกเจ้าไว้เลย”
มุมปากของกู้ชูหน่วนกระตุกจนเผยให้เห็นรอยยิ้มที่พึงพอใจ
นางคล้องคอผู้เป็นคู่หูเอาไว้และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ทำดีมากเสี่ยวเซวียนเซวียน รู้จักปกป้องพี่ใหญ่ด้วย”
“ไปเลยๆ ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลขุนนางผู้มีความรู้ จะมาแตะเนื้อต้องตัวอะไรไม่เหมาะสมเช่นนี้”
“เซี่ยวอวี่เซวียน คนอย่างเจ้าให้ความสำคัญกับคำว่าความเหมาะสมด้วยรึ”
เซี่ยวอวี่เซวียนยอมรับเลยว่าฝีปากของเขายังห่างไกลจากกู้ชูหน่วนนัก แม้แต่คนตายยังโกรธได้เลยเมื่อพูดคุยกับนาง
เมื่อทำอะไรกู้ชูหน่วนไม่ได้ เซี่ยวอวี่เซวียนจึงทำได้เพียงเอาความโกรธไปลงกับคุณชายคนอื่นๆ
“มัวทำบื้ออะไรอยู่ ยังไม่รีบเรียกพี่ใหญ่อีก”
“อา...”
เหล่าคุณชายจากตระกูลขุนนางมีสีหน้าลำบากใจ พวกเขามองเซี่ยวอวี่เซวียนอย่างวิงวอน ทว่าเซี่ยวอวี่เซวียนกลับมีสีหน้าที่เด็ดเดี่ยวจนพวกเขาต้องเอ่ยอย่างไม่เต็มใจว่า “พี่ใหญ่”
“อื้อ”
กู้ชูหน่วนตอบรับง่ายๆ อย่างไม่เคอะเขิน
นางรู้ว่าเซี่ยวอวี่เซวียนเป็นพวกปากร้ายใจดี เห็นได้ชัดว่าเขากังวลว่าพวกคุณชายจากตระกูลขุนนางเหล่านี้จะดูถูกนาง ดังนั้นเขาจึงยืนกรานให้พวกนั้นเรียกนางว่าพี่ใหญ่
มุมปากของหลิ่วเย่ว์และคุณชายคนอื่นๆ กระตุกเล็กน้อย
นางยังกล้าตอบรับอีกหรือ พี่ใหญ่ยอมรับนางให้เป็นพี่ใหญ่ได้อย่างไรกัน
หลิ่วเย่ว์ถามว่า “พี่ใหญ่ พวกข้าเรียกนางว่าพี่ใหญ่ เรียกท่านว่าพี่ใหญ่ แล้วแบบนี้ต่อไปจะไม่สับสนหรอกหรือ”
“ใช่ๆๆๆ”
“ง่ายจะตาย แค่เรียกเขาว่าพี่รองก็จบแล้ว” กู้ชูหน่วนพูดยิ้มๆ
เซี่ยวอวี่เซวียนทำหน้าเหวอ “พี่รองอะไรกัน แม่สาวอัปลักษณ์ เจ้าช่างหน้าไม่อายเสียจริง”
“เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย”
“เอาน่ะๆ อย่าโกรธไปเลยน่าเสี่ยวเซวียนเซวียน หรือจะให้พวกเขาเรียกเจ้าว่าน้องเล็ก”
เซี่ยวอวี่เซวียนจ้องนางเขม็ง
น้องเล็กอะไร แบบนั้นเขาก็ยิ่งเสียเกียรตินะสิ
“เอาเถอะๆ เช่นนั้นเรียกเจ้าว่าลูกพี่แล้วเรียกข้าว่าพี่ใหญ่ก็แล้วกัน”
นี่ก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่
เซี่ยวอวี่เซวียนกลั้นลมหายใจรอรับการหยอกล้อจากกู้ชูหน่วน แต่ไม่คิดว่าอยู่ๆ นางจะคว้าพัดจากมือของเขาไปพัดอย่างสบายใจเฉิบ
ถามเขาว่า “การชุมนุมแข่งขันวิชาการมันคืออะไรงั้นหรือ”
ดูเหมือนแม่สาวอัปลักษณ์จะไม่สังเกตว่าเขายังเคืองอยู่
ช่างน่าโมโหเสียจริง
ใครที่ได้แต่งงานกับนางหลังจากนี้คงต้องทรมานจนตายอย่างแน่นอน
หลิ่วเย่ว์และคุณชายคนอื่นๆ มองหน้ากันและเอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “เจ้าไม่เคยได้ยินเรื่องการชุมนุมแข่งขันวิชาการงั้นหรือ”
กู้ชูหน่วนส่ายหน้า
ความทรงจำของนางขาดหายไปและนางก็จำอะไรได้ไม่มากนัก
“การชุมนุมแข่งขันวิชาการจะจัดขึ้นทุกๆ ห้าปี ทุกรัฐจะส่งชายหญิงที่มีความสามารถมาเข้าร่วม การแข่งขันซึ่งเป็นแบบแพ้คัดออก สุดท้ายจะเหลือเพียงสามสิบคนสุดท้ายเท่านั้นที่ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ การแข่งขันอาจจะดุเดือดมาก แต่ถึงอย่างไรนักเรียนจากสำนักศึกษาวังหลวงของพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมการประเมินและเข้ารอบชิงได้เลยอยู่แล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์
เป็นนางเอกที่นิสัยแย่ที่สุดตั้งแต่เคยอ่านมา...
คือตัวเองไม่มีเงิน แต่คิดจะเอาทุกอย่างด้วยราคาสูงเสียดฟ้า แล้วก็หาคำพูดให้คนอื่นจ่ายแทน ตัวเองหาประโยชน์จากคนใกล้ตัวแต่กลับเอาใจให้คนอื่นตลอดเนี่ยนะ...
แม่นางกู้เกินเยียวยาแล้วเด้อ 555...
เยี่ยเฟิงเป็นคนดีมาก แต่เขาทนงตัวเกินไป ชีวิตที่ผู้อื่นฝ่าฟันเพื่อแย่งชิงลมหายใจเขาไว้ แต่เขาก็ดิ้นรนกลับไปหาความตายอยู่เรื่อย...
ท่านอาจารย์พูดให้คิดดีมากเลย แต่อาหน่วนจะเข้าใจไหม นางดูมั่นหน้า มั่นใจเกิตเหตุแบบไม่สนสี่สนแปดใดใดเลย...
อยากให้กลับมาอัพเดทไวๆนะคะ ขอบคุณมากค่ะ...
สรุปเรื่องนี้มีตอนจบมั้ยค่ะ...
รอตอนจบอยู่นะคะ ใจบางไม่ไหวแล้วทรมาน...
รออัพเดทอยู่นะคะ...
เมื่อไหร่จะอัพต่อค่ะ...