มังกรผู้ทรงพลัง นิยาย บท 1020

สรุปบท บทที่ 1020 วันอาทิตย์: มังกรผู้ทรงพลัง

อ่านสรุป บทที่ 1020 วันอาทิตย์ จาก มังกรผู้ทรงพลัง โดย จาง หลงหู

บทที่ บทที่ 1020 วันอาทิตย์ คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายนิยายโรแมนติกในเมือง มังกรผู้ทรงพลัง ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย จาง หลงหู อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

ฉีเติ่งเสียนเดินทางออกจากเทียนจู่กั๋วพร้อมกันกับหลี่อวิ๋นหว่านเพื่อเตรียมตัวเดินทางไปเที่ยวที่ประเทศแถวๆนี้สักสองสามวันแล้วค่อยกลับเซียงชาน

ที่จริงแล้ว ฉีเติ่งเสียนและหลี่อวิ๋นหว่านไม่ได้มีเวลาที่จะได้เจอกันมากนัก เพราะทั้งสองคนต่างคนต่างอยู่กันฟ้าคนละฟาก ดังนั้นโดยปกติแล้วพวกจึงต้องอาศัยช่วงเวลานี้ชดเชยเสียหน่อย

แน่นอนว่าช่วงนี้ต้องกินหอยนางรมบ่อยๆมากๆ นั่นทำให้ฉีเติ่งเสียนเริ่มคิดถึงรสชาติของไตแพะเสียแล้ว

น่าเสียดายที่คนฝั่งตะวันตกไม่ค่อยนิยมกินเครื่องในสัตว์กันสักเท่าไหร่ แต่ก็ทำได้แค่กินหอยนางรมไปก่อน

เขายังคงคิดถึงไตแพะที่เพิ่งออกมาจากเตาถ่านที่โรยด้วยผงพริก ใส่เข้าไปในปากก็ชุ่มไปด้วยน้ำมัน เต็มเปี่ยมไปด้วยรสชาติของเนื้อสัตว์

“ประเทศแทบตะวันตกนี่เขารักษาสไตล์ของพวกเขาไว้ได้ดีจริงๆนะ น่าอิจฉามากเลย!” หลังจากที่เดินเที่ยวตามจุดชมวิวเสร็จ หลี่อวิ๋นหว่านอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจและเปรยออกมา

“เห้อ ” หลังจากที่ฉีเติ่งเสียนได้ยินดังนั้นก็ได้แต่ส่ายหัว

ประเทศของเขาใช้เวลาในการพัฒนาประเทศที่สั้นมากๆ ด้วยความที่มีแต่ความต้องการที่จะมุ่งหน้าและฝ่าฟันอุปสรรค ก็เป็นธรรมดาที่อาจจะหลงลืมการรักษาความดั่งเดิมต่างๆในเมืองไป และไม่ว่าจะเป็นอาคารบ้านเรือนหรือสถาปัตยกรรมที่สวยงามเพียงใดก็คงไม่สู้การทุบอาคารพวกนั้นและสร้างเป็นอาคารพาณิชย์ต่างๆ

แต่ก็ด้วยความที่ในตอนนี้ เศรษฐกิจก็มีการพัฒนาไปอย่างมากแล้ว ก็ทำให้พวกเราเริ่มที่จะหันมาให้ความสนใจกับสถาปัตยกรรมดั่งเดิมแล้ว

ในฝั่งยุโรปนี้ รัฐบาลเขาให้ความสำคัญกับเกี่ยวรักษาสิ่งก่อสร้างและเมืองดั่งเดิมเอาไว้อย่างมาก ด้วยเหตุนี้ นักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเที่ยวชมที่นี่จึงสามารถสัมผัสได้ถึงประวัติศาสตร์ต่างๆของที่นี่ที่ยังคงหลงเหลือไว้

ในระหว่างที่ฉีเติ่งเสียนท่องเที่ยวอยู่ในประเทศแทบๆเทียนจู่กั๋ว ก็โดนกลุ่มคนที่เคร่งศาสนาเดินเข้าขอถ่ายรูปกับเขา และถือโอกาสขอให้เขาให้พรกับพวกเขา

เมื่อเห็นดังนั้น ฉีเติ่งเสียนจึงเลียนแบบท่าทางของศาสดา และยกมือขึ้นมาแตะลงไปที่ศีรษะของแต่ละคนเบาๆ และก็บางอย่างออกมาที่คล้ายกับการอวยพรจากผู้ศักดิ์สิทธิ์

“ผมคิดหนึ่งหมี่นดอลลาร์แลกการให้พร คุณคิดว่าไง?” ฉีเติ่งเสียนหันไปถาม เขาคิดว่านี่เป็นความคิดที่ไม่เลวเลย

หลี่อวิ๋นหว่านถึงกับกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก “คุณเรียกเงินตั้งหนึ่งหมื่นดอลลาร์?ฉันกลัวว่าพระเจ้าจะให้คำสาปกับคุณน่ะสิ!”

ฉีเติ่งเสียนมาคิดๆดูนั่นก็จริง ช่างเถอะ ว่าแต่เขาจะหาเงินยังไงล่ะ?

เขาหยิบบัตรธนาคารของตัวเองออกมาพรางถอนหายใจไปด้วย “เงินที่ผมเพิ่งหามา ตอนนี้มันเหลือแค่สี่ล้าน!”

“คุณรู้ไหมว่าสี่ล้านนี้มันเป็นเงินก้อนสุดท้ายของผมแล้ว!”

หลี่อวิ๋นหว่านอึ้งไปเล็กน้อย “อะไรของคุณเนี่ย?”

ฉีเติ่งเสียนพูดขึ้นเสียงดัง “ปีนี้เฉินเตาจ่ายใช้เงินยี่สิบหยวนแต่ได้กลับมาถึงสามสิบเจ็ดล้าน ส่วนผมฉีเติ่งเสียนก็สามารถใช้เงินสี่ล้านแต่ได้กลับมาถึงห้าพันล้าน ซึ่งสำหรับผมแล้วนั่นไม่ใช่ปัญหาเลย!”

“…..”

หลี่อวิ๋นหว่านพูดไม่ออกไปชั่วขณะ หลังจากนั้นสักพักเธอถึงพูดขึ้น “ฉันว่าถ้าคุณกลับไปที่เทียนอันจู่กั๋วคุณควรไปหานักบวขนะ มีอะไรเข้าสิงคุณหรือป่าว?”

ฉีเติ่งเสียนกลอกตาใส่เธอหนึ่งครั้ง แล้วพูดตอบ “ตอนนี้ผมเพียงแค่กังวลเรื่องเงินเท่านั้น ตอนแรกผมก็ไม่ได้สนใจเกี่ยวกับเรื่องเงินเท่าไหร่นักหรอก แต่ตอนนี้ผมมีหนี้ ถึงได้รู้ว่าการหาเงินมันไม่ง่ายเลย!”

หลี่อวิ๋นหว่านอดไม่ได้ที่จะถามต่อ “คุณยังเป็นหนี้อีกเท่าไหร่?”

“ก่อนหน้านี้กูวินสกี้กับวิโนกราดอฟจ่ายคืนไปบ้างแล้ว เท่ากับตอนนี้ผมยังเป็นหนี้อยู่สามพันล้าน…” ฉีเติ่งเสียนรู้สึกยากที่จะพูดออกไป “เอิ่ม ดอลลาร์น่ะ”

หลี่อวิ๋นหว่านคิดว่านี่มันเป็นจำนวนเงินที่ไม่น้อยเลย เลยได้แต่ส่ายหัวและตอบกลับ “ถ้าเป็นฉันในเมื่อกี้ได้ยินเงินจำนวนมากขนาดนี้ ถึงจะเป็นเงินหยวนฉันก็คงตายไปแล้ว เอาเถอะคุณสู้ๆละกัน ฉันอยากช่วยนะ แต่ไม่รู้จะช่วยยังไงเลย!”

“คงต้องหาวิธีหาเงินในเซียงชานและจิงเต่า ไม่งั้นหนี้ก้อนนี้ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะใช้หนี้หมด!” ฉีเติ่งเสียนตอบกลับ

หลี่อวิ๋นหว่านยักไหล่ เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นผีร้ายตนไหนที่มาทำให้ฉีเติ่งเสียนต้องเจอกับเคราะห์ร้ายเช่นนี้ แต่เรื่องการสูญเสียมันก็เป็นเรื่องที่หลักเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว

ฉีเติ่งเสียนพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง “ทำไมคนรุ่นหลังถึงไม่เคารพและศรัทธากันเลยล่ะ วันอาทิตย์ที่ผมพูดถึงคือหมายถึงรอผมสักการะเสร็จ แล้วค่อย...เอ่อ...”

หลี่อวิ๋นหว่านหัวเราะออกมาอย่างเสียงกับคำพูดของฉีเติ่งเสียน และถามกลับ “สิ่งที่คุณศรัทธาไม่ใช่ถุงน่องดำหรือ?”

พอถึงเวลาเกือบๆจะบ่ายสามโมง ฉีเติ่งเสียนก็ให้โรงแรมเตรียมรถไว้ แล้วก็พาหลี่อวิ๋นหว่านไปร่วมงานเลี้ยงที่โรงกลั่นไวน์พอตเตอร์ ก่อนออกเดินทางเขาได้โทรหาร็อบเบนแงกลุ่มอัศวิน

พลังของศาสนาศักดิ์สิทธิ์มีพลังที่น่ากลัวมากแพร่ขยายไปทั่วยุโรป โดยเฉพาะในกลุ่มอัศวินของพวกเขา

ไม่คุณจะมีพลังที่แข็งแกร่งขนาดไหน ก็ไม่มีวันกล้าที่จะไปยุ่งกับพวกเขา

กลุ่มอัศวินนี้ไม่เพียงแต่มีพลังและความสามารถในการต่อสู้ แต่ยังมีพลังของศาสนาอันศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย ถ้าคุณต่อสู้กับพวกเขา คุณก็คงจะหาความสุขไม่ได้อีกเลย

สวนพอตเตอร์ถือเป็นโรงกลั่นไวน์ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในอิตาลี ว่ากันว่านี่เป็นธุรกิจของตระกูลมาเฟียพอตเตอร์ด้วย

หลังจากที่ฉีเติ่งเสียนและหลี่อวิ๋นหว่านเดินทางมาถึงโรงกลั่นไวน์พอตเตอร์นั้น ก็พบกับชายอายุราวๆหกสิบกว่าๆที่ยืนต้อนรับอยู่ที่หน้าทางเข้า

“เขาคือโทคาเรฟสกีใช่หรือป่าว ฉันเห็นเขาในข่าวอยู่บ่อยๆ” หลี่อวิ๋นหว่านอดไม่ได้ที่กระซิบถาม “คนๆนี้ดูดุมากเลย”

“อืม เขาคือผู้อำนาจมากที่สุดในบรรดาผู้มีอำนาจทั้งหลายของประเทศเสวี่ย บอริส โทคาเรฟสกี” ฉีเติ่งเสียนพูดขึ้นเสียงเรียบ “และเป็นผู้บงการเหตุการณ์การนองเลือดเดือนตุลาคม”

ถึงแม้ว่าช่วงนี้หลี่อวิ๋นหว่านจะได้พบกับคนใหญ่คนโตมาไม่น้อย แต่เขาก็ยังแอบรู้สึกตกใจกับสิ่งที่เข้าได้ยินเกี่ยวกับโทคาเรฟสกี

สามารถพูดได้เลยว่าเขาคนนี้คือนักธุรกิจอันดับต้นๆของโลก!

“555 ยินดีต้อนรับทั้งสองคน!” เมื่อโทคาเรฟสกีเห็นเติ่งเสียนกับหลี่อวิ๋นหว่านเดินเข้ามาในงาน ก็ยิ้มและเดินเข้าไปทักทายทันทีด้วยท่าทีที่ตรงไปตรงมา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มังกรผู้ทรงพลัง