มังกรผู้ทรงพลัง นิยาย บท 1442

ดูเหมือนว่าพระโพธิสัตว์เทียนจู๋นามว่าโจรูริผู้นี้จะต้องการเจรจากับฉีเติ่งเสียนเพราะเรื่องความศรัทธา

ในเมื่อฉีเติ่งเสียนใช้เงินไปหลายพันล้านดอลลาร์ในการสร้างมหาวิหารอวตารนี้ขึ้น ซึ่งมันครอบคลุมพื้นที่ของสถานที่จัดการแข่งขันฟุตบอลโลกสามแห่งและเรียกได้ว่าหรูหราอย่างยิ่ง

เมื่อมีมหาวิหารเช่นนี้เกิดขึ้น ก็พอจะจินตนาการได้ว่าอิทธิพลของศาสนาศักดิ์สิทธิ์จะเติบโตไปถึงขั้นที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!

เดิมทีในเขตทางใต้มีคนนับถือศาสนาพุทธอยู่ไม่น้อย ซึ่งแน่นอนว่าการที่ฉีเติ่งเสียนทำแบบนี้ มันจะทำให้เขาดึงดูดผู้ศรัทธาไป แล้วเมื่อถึงตอนนั้นจะยังมีใครศรัทธาพวกเขาอยู่ล่ะ

แต่ฉีเติ่งเสียนไม่ได้แบกภาระแม้แต่น้อยในการทำเรื่องนี้ ในเมื่อลัทธิเต๋าไม่พัฒนาไปในทิศทางนั้นเอง ดังนั้นมันจึงไม่สำคัญ เทียนจุนคงไม่ปล่อยสายฟ้าใส่เขาเพราะไม่ชอบเขาหรอก

“จะไม่เจรจาแล้วเหรอ” กาลันดาถามอย่างอดไม่ได้ เขาขมวดคิ้วมุ่นและสีหน้าของเขาก็เริ่มเศร้าหมองอย่างเห็นได้ชัด

“ก็พวกท่านยืนกรานที่จะรุกรานฐานของผม แล้วยังจะต้องเจรจาอะไรอีก” ฉีเติ่งเสียนระบายยิ้มและถามอย่างช่วยไม่ได้

ปรมาจารย์โยคะทั้งสามพยักหน้าเล็กน้อย ท่าทางของฉีเติ่งเสียนทำให้พวกเขารู้ว่าเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องเจรจากันแล้ว

กาลันดาลุกขึ้นยืน ประสานนิ้วมือทั้งสิบแล้วพูดว่า “ในเมื่อไม่จำเป็นต้องเจรจาก็ไม่ต้องเจรจา ท่านพระอัครสังฆราชจงระวังผลลัพธ์ของเรื่องนี้ให้ดี!”

ฉีเติ่งเสียนหัวเราะเสียงดังและพูดว่า “ขู่ผมเหรอ หยุดขู่ผมจะดีกว่า”

กาลันดากล่าวว่า “หากพระโพธิสัตว์ทรงทราบว่าพระอัครสังฆราชมีท่าทีเช่นนี้ ท่านคงผิดหวังมาก”

ฉีเติ่งเสียนพูดว่า “ผมอยากรู้จริงๆ ว่าโจรูริผู้นี้เป็นใครมาจากไหน ถึงได้มีคนเคารพในฐานะพระโพธิสัตว์ในยุคปลายของศาสนาพุทธแบบนี้ ในจินตนาการของผม คนที่มีวิทยายุทธอยู่ในระดับเดียวกับผมควรจะเป็นหมัดพระโพธิสัตว์ ลูกเตะพระพุทธเจ้า...ผมอยากจะรู้นักว่าพระโพธิสัตว์โจรูริองค์นี้จะสามารถต้านทานหมัดล้มครึ่งก้าวของผมได้ไหม”

ฉีเติ่งเสียนรู้จุดประสงค์ของปรมาจารย์โยคะจากนิกายพุทธศาสนาเทียนจู๋แล้ว พวกเขาขัดแย้งกันทางผลประโยชน์เพราะเรื่องนี้ และคำพูดของพวกนั้นก็เต็มไปด้วยการข่มขู่ ดังนั้นฉีเติ่งเสียนจึงไม่คิดจะเก็บซ่อนมันอีกต่อไป

ยิ่งไปกว่านั้น ฉีเติ่งเสียนเองก็ไม่ใช่คนชอบปิดบังอะไรอยู่แล้ว เพียงแต่บางครั้งที่ยีนของคนชอบเล่นทีเผลอมันกำเริบขึ้นมา เขาก็ชอบซุ่มโจมตีบ้าง

เพราะท้ายที่สุดแล้วเขาก็ยังเป็นนักสู้เลือดร้อนคนหนึ่ง หากเขาโกรธขึ้นมาเมื่อไร มันก็ต้องมีเลือดสาดกระเซ็นแน่นอน

“บังอาจนัก!” หลังจากได้ยินดังนั้นกาลันดาก็ระเบิดโมโห เขายกมือขวาขึ้น บิดมือเป็นตราประทับดอกบัวและกดมันไปที่หน้าผากของฉีเติ่งเสียน

ฝ่ามือนี้ประกอบไปด้วยความเมตตา ความกว้างใหญ่ ความยิ่งใหญ่ และการสำนึกผิด ราวกับต้องการสอนฉีเติ่งเสียนถึงหลักการเคารพพระพุทธเจ้า

แต่ฉีเติ่งเสียนกลับนั่งนิ่ง ทำแค่เพียงยกมือซ้ายและขวามาประสานและโจมตีไปที่ตราประทับดอกบัว!

“หมัดปืนใหญ่สามจักรพรรดิ เมื่อหมัดประสานนี้ถูกปล่อยออกมา มีใครในใต้หล้าที่สามารถรับมันได้บ้าง” หยางกวนกวนแอบตกใจเมื่อเห็นเหตุการณ์นี้

ยุคสามราชาห้าจักรพรรดิจะใช้ระบบการคัดเลือกผู้นำจากความสามารถและคุณธรรม หมัดปืนใหญ่ของฉีเติ่งเสียนเปรียบเหมือนตอนที่จักรพรรดิเหยาที่ยอมจำนนต่อจักรพรรดิซุ่น นี่คือแนวคิดทางศิลปะที่ทำให้คนทั้งแผ่นดินและทั้งใต้หล้ามอบความไว้วางใจให้! หากไม่มีคุณธรรมและความสามารถดั่งจักรพรรดิซุ่น แล้วใครจะยอมจำนนให้

เนื่องจากน้ำเสียงของฉีเติ่งเสียนฟังดูเป็นการดูหมิ่นพระเจ้า กาลันดาจึงต้องการสั่งสอนให้เขาเคารพพระพุทธเจ้า

ส่วนฉีเติ่งเสียนก็ตอบโต้ด้วยหมัดปืนใหญ่สามจักรพรรดิ แค่เขาประสานมือหนึ่งครั้งมันก็ครอบคลุมไปทั่วใต้หล้า ถึงแม้จะเป็นพระพุทธเจ้า ก็ไม่แน่ว่าจะรับมันไหว!

ทันทีที่เกิดการปะทะ เสียงอึกทึกก็ดังสนั่น แล้วม้านั่งหินใต้ก้นของฉีเติ่งเสียนก็มีเสียงดังแกร๊กและมีรอยแตกปรากฏ

ใบหน้าของกาลันดาแดงก่ำขึ้นมาทันที

ทุกคนได้กลิ่นเลือดจางๆ จากนั้นก็เห็นคอของกาลันดากระตุก เหมือนว่าเขากำลังกลืนน้ำลาย

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มังกรผู้ทรงพลัง