“หัวหน้า พวกลัทธิบูชาแดร็กคิวล่านอกรีตถูกสังหารแล้ว! แต่ว่าหัวหน้าผู้ศรัทธาลำดับที่สอง สาม สี่และห้าหายตัวไป!”
อัศวินศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่งวิ่งไปหาร็อบเบนและรายงานสถานการณ์ปัจจุบันด้วยเสียงดัง
เมื่อได้ยินดังนี้ ร็อบเบนก็พยักหน้าเบาๆ ก่อนจะพูดว่า “สำนักงานใหญ่ของลัทธิบูชาแดร็กคิวล่าถูกพวกเราทำลายไปแล้ว ถึงจะมีพวกนอกรีตหลงเหลืออยู่เล็กน้อยก็คงทำอะไรไม่ได้อยู่ดี”
ฉีปู้อวี่ระบายยิ้มและพยักหน้า
ร็อบเบนปฏิบัติตัวต่อฉีปู้อวี่ในฐานะอัศวินและพูดด้วยความเคารพว่า “คุณฉีปู้อวี่ที่เคารพ ขอบคุณที่ท่านช่วยเหลือพวกเรากำจัดพวกนอกรีต! นับตั้งแต่นี้ไป ท่านจะเป็นสหายผู้ทรงเกียรติของศาสนาของเรา”
ฉีปู้อวี่โบกมืออีกครั้งเพื่อบ่งบอกว่าไม่เป็นไร
วันนี้เขาสนุกกับการฆ่ามาก เขาไม่ได้ฆ่าคนแบบนี้มานานแล้ว...
แถมได้ฆ่าคนมากมายขนาดนี้แล้วยังไม่ต้องเก็บกวาดอะไร คนจากนครรัฐวาติกันจัดการให้ทั้งหมด
“คุณฉีปู้อวี่กลับไปยังนครรัฐวาติกันกลับพวกเราสิ พระสันตะปาปาจะมอบรางวัลให้คุณอย่างแน่นอน” ร็อบเบนกล่าว
ฉีปู้อวี่ส่ายหน้าแล้วใช้ท่าทางบอกอีกฝ่ายว่าไม่จำเป็น ที่เขาทำก็เพียงเพื่อขจัดอันตรายต่อผู้คนและธำรงคุณธรรมก็เท่านั้น
ร็อบเบนยกนิ้วให้ทันที ในใจก็คิดว่าคนพ่อดีกว่าลูกชายสารเลวนั่นเป็นร้อยเท่า! ถ้าฉีเติ่งเสียนอยู่ที่นี่ เขาคงไม่สนพระสันตะปาปาและเอาน้ำมนต์มาดับกระหายล่ะมั้ง
ด้วยเหตุนี้ การกวาดล้างพวกนอกรีตจึงสิ้นสุดลง
หลังจากกลับมาถึงนครรัฐวาติกัน ร็อบเบนก็ไปพบพระสันตะปาปาและรายงานสถานการณ์ดังกล่าว เมื่อพระสันตะปาปาได้ฟังเขาก็พอใจอย่างยิ่งและหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข
“เป็นอย่างที่คิดจริงๆ คนพ่อพึ่งพาได้กว่าคนลูกมากทีเดียว เขาเป็นคนพูดจริงทำจริง! เวลาแค่ไม่เท่าไรก็จัดการพวกนอกรีตที่ทำให้เราปวดหัวได้เสียสิ้นซาก” พระสันตะปาปากล่าวอย่างมีความสุขและเริ่มกระโดดโลดเต้น
“ใช่แล้ว คุณฉีปู้อวี่ทรงพลังมาก คนนอกรีตพวกนั้นถูกหมัดของเขาทุบเข้าที่หัวจังๆ” ร็อบเบนพูดเสียงดังด้วยความชื่นชมต่อชายที่แข็งแกร่งอย่างฉีปู้อวี่
พระสันตะปาปาพยักหน้าซ้ำๆ และกล่าวว่า “เมื่อเทียบกันแล้ว พระอัครสังฆราชฉีเติ่งเสียนยังห่างไกลอยู่มากโข แต่พ่อของเขานี่สิ เป็นคนดีอย่างถ่องแท้! นับตั้งแต่บัดนี้ เขาจะเป็นสหายของนครรัฐวาติกันของเราตลอดไป!”
ในขณะที่พระสันตะปาปายกย่องฉีปู้อวี่ เขาก็ประณามฉีเติ่งเสียนไปด้วย เขาคิดว่าฝ่ายหลังเป็นเหมือนเนื้อสุนัขที่ไม่คู่ควรกับการเอาขึ้นโต๊ะ เป็นคนขี้โมโหคนหนึ่ง หากเป็นเรื่องใหญ่ๆ ควรให้ฉีปู้อวี่จัดการมากกว่า
ร็อบเบนพูดว่า “แต่ว่าหัวหน้าผู้ศรัทธาห้าลำดับแรกของลัทธิบูชาแดร็กคิวล่าหลบหนีไปได้”
พระสันตะปาปาตอบว่า “ไม่ต้องกังวลไป! ถ้าฉันจำไม่ผิด หัวหน้าผู้ศรัทธาลำดับที่สี่และห้าตายอยู่ที่ด้านนอกเรือนจำอะไรนั่นแล้ว”
ครั้งล่าสุดที่หัวหน้าผู้ศรัทธานำทัพลัทธิบูชาแดร็กคิวล่าลอบโจมตีเรือนจำโยวตู ปรากฏว่าพวกเขาได้รับความสูญเสียอย่างหนัก แถมหัวหน้าผู้ศรัทธาลำดับที่สี่และห้าก็เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ
แต่ร็อบเบนไม่รู้เลยว่าหลังจากที่ฉีปู้อวี่ทำการกวาดล้างเสร็จสิ้น เขาก็เดินทางไปยังอีกสถานที่หนึ่งทันทีและตอนที่เขาจากมา ในมือเขาก็หิ้วคนต่างชาติที่เหมือนสุนัขตายซากสองตัวออกมาด้วย
คนต่างชาติสองคนนี้ก็คือหัวหน้าผู้ศรัทธาลำดับที่สองและสาม พวกเขาไม่ได้ถูกฉีปู้อวี่ฆ่าตาย แค่ถูกเล่นงานจนหมดสติ ยิ่งไปกว่านั้นจุดหยาเหมินทั้งแปดยังได้รับความเสียหายรุนแรงจนพวกเขากลายเป็นใบ้
เมื่อทั้งสองเห็นหัวหน้าผู้ศรัทธา พวกเขาก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที จากนั้นก็พุ่งพรวดไปกอดเขาและบอกเล่าสถานการณ์ แต่ทันทีที่พวกเขาเปิดปาก...
“แบะ แบะ อ่า อ่า บะ แบะ...”
“แบะ แบะ แบะ แบะ...”
“แบะ แบะ อ่า แบะ แบะ...”
หัวหน้าผู้ศรัทธาทั้งสามเกาะกลุ่มกันส่งเสียงแบะแบะจนเจ่จือที่มองดูอยู่หัวเราะออกมาจนท้องคัดท้องแข็ง
หลังจากที่ฉีปู้อวี่จับชายคนนั้นได้ เขาก็ออกไปอีกครั้ง เมื่อกลับมาเขาก็หอบร่างที่เหมือนสุนัขตายซากสองตัวไว้ในมือ คนทั้งสองเคยเป็นลูกน้องของเจ่จือและปัจจุบันเป็นคนสำคัญของลัทธิเทพอเวจี
ลัทธิเทพอเวจีถูกฉีปู้อวี่เล่นงานจนได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงตั้งแต่ก่อนหน้านี้และสถานการณ์ก็เลวร้ายลงทุกวัน บวกกับการหายตัวไปของหัวเรือใหญ่อย่างเจ่จือ พวกเขาจึงต้องต่อสู้ด้วยตนเอง
ผ่านไปไม่นาน เวลาเย็นก็มาถึง
อาจารย์จางเทียนหยิบน้ำบริสุทธิ์มาห้าถ้วย จากนั้นก็จุดไฟกระดาษยันต์ทั้งห้าและผสมขี้เถ้าลงในน้ำ
คนนอกรีตทั้งห้าตัวสั่นเทา แต่ฉีปู้อวี่ก็ไม่ปรานี เขาก้าวไปข้างหน้า บีบจมูกของอีกฝ่ายและบังคับให้พวกเขาดื่มน้ำยันต์ทั้งหมด
อาจารย์จางเทียนจีบนิ้วทั้งสองข้าง ปากก็ท่องคาถาพึมพำ หลังจากนั้นไม่นานคนนอกรีตทั้งห้าก็เริ่มกระตุก จากนั้นก็กรีดร้อง เส้นเลือดปูดโปนไปทั่วร่าง ราวกับปีศาจที่คืบคลานออกจากนรก
“ลงมือ!” เจ่จือโบกมือและพูดขึ้น
ทั้งห้าลุกจากพื้นอย่างพร้อมเพรียงและวิ่งพรวดออกไปราวกับปีศาจร้าย มุ่งหน้าไปยังนครรัฐวาติกันแห่งเทียนจู่กั๋ว!
ฉีปู้อวี่เองก็เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าที่สะดวกต่อการเคลื่อนไหวมากขึ้น กระดูกและกล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขาเริ่มบิดเบี้ยวและเปลี่ยนเป็นใบหน้าอ้วนท้วนในที่สุด
เขาถือถังน้ำใบใหญ่และเดินตามคนนอกรีตทั้งห้าออกไป
ส่วนทางเจ่จือนั้น เขากำลังเคลื่อนย้ายอาจารย์จางเทียนที่กำลังประทับตราอยู่และส่งขึ้นรถ จากนั้นก็ขับรถไปยังสถานที่ที่ระบุไว้และหยุดรถ
จากนั้นเจ่จือก็จุดบุหรี่ เปิดเพลง และรออยู่ในรถ
ทางด้านฉีปู้อวี่ เขาติดตามคนนอกรีตทั้งห้าไปถึงบริเวณใกล้เคียงนครรัฐวาติกัน
แล้วจู่ๆ คนนอกรีตทั้งห้าก็คลุ้มคลั่งและพุ่งไปยังนครรัฐวาติกัน ร้องคำรามและกระโจนใส่อัศวินศักดิ์สิทธิ์สี่คนที่กำลังปฏิบัติหน้าที่
อัศวินศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ไม่ทันตั้งตัว แถมห้าคนนี้ยังเป็นคนนอกรีตที่ทรงพลังอยู่แล้ว บวกกับพลังบูรพาลึกลับที่อธิบายไม่ได้ พวกเขาจึงยิ่งแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
อัศวินศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ตั้งรับไม่ทัน พวกเขาจึงสลบลงบนพื้น ส่วนคนนอกรีตทั้งห้าก็บุกเข้าไปในนครรัฐวาติกันและเริ่มสร้างความโกลาหล...
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มังกรผู้ทรงพลัง
ตั้งแต่ตอนที่ 217 ถ้าไม่อัพให้เต็มตอนก็คงต้องเลิกอ่านถาวรแล้ว...
อัพอีกวันไหนคะรับ...
ตอนละ6/7บรรทัด อัพใหม่ที...
ข้อความหายอีกแล้วครับ 280-284...
คนอัพไม่ดูเลยเหรอครับมันมาไม่กี่บรรทัดเอง...
ขาดตอนเลยครับ เนื้อหาไม่ครบแบบนี้...
ทำไมแต่ละตอนมันสั้นจัง...
253-264 ทำไมสั้นจังครับ...
ถ้าอัพมาแค่4, 5บรรทัดเลิกอัพเถอะ...
242 - 246 ข้อความขึ้นไม่ครบครับ...