เมื่อหลงถูและท่านผู้เฒ่าหลงได้ยินเสียงที่คุ้นเคย พวกเขาก็อดที่จะตกใจสั่นไม่ได้
ช่วงนี้ความฝันของทั้งสองก็ยังฝันถึงพระอัครสังฆราชฉี
หลงถูกพูดขี้ด้วยใบหน้าเยาะเย้ย : “สวัสดีอัครสังฆราชฉีวันนี้เมื่อตอนเที่ยงฉันเพิ่งกินเกี๊ยวไป แล้วยังจุ่มมันลงไปในซีอิ๊ว ไม่เค็มและไม่จืดรสชาติกำลังดีทีเดียว !”
หลังจากที่ฉีเติ่งเสยนได้ยินอย่างนั้นก็พอใจ เขาตบไปที่ไหล่ของหลงถู : “พ่อหนุ่มช่างรู้มารยาทดีเสียจริง ตระกูลหลงสั่งสอนมาได้ดีมาก!”
เขาเพิ่งจะกวาดล้างแก๊งสี่ไห่ไป ผู้เฒ่าหลงออกคำสั่งอย่างเข้มงวดว่าใครก็ตามในตระกูลหลงที่ไปยั่งยุดาวหายนะดวงนี้ แม้จะเป็นคนโอหังอย่างหลงถูในตอนนี้เขาก็ยังต้องสุภาพ เหมือนกับผู้ใหญ่เช่นกัน
“ฉันไม่ชอบกินเกี๊ยว อีกอย่างฉันก็ไม่เคยจุ่มมันลงในซีอี๊วเลย!” ผู้เฒ่าหลงตอบด้วยสีหน้าอึมครึม ไม่พอใจกับฉีเติ่งเสียนอย่างมาก
“นั้นก็ไม่เป็นไร ยังไงก็เป็นผู้สูงอายุแล้ว รสนิยมด้านรสชาติก็เคยชินไปแล้ว ในเวลาสั้นๆก็คงจะยังแก้ไม่ได้” ฉีเติ่งเสียนพูดขึ้นอย่างไม่สนใจใยดี
ซุนเจี้ยนเฉินที่อยู่ไม่ไกลเขามองมาแล้วยิ้มเย้ย ไอ้หมอนี่เริ่มไปหาเรื่องตระกูลหลงอีกแล้ว สงสัยครั้งที่แล้วจะผิดไม่มากพอ !
ผู้เฒ่าหลงหน้าอึมครึมและไม่ได้พูดอะไร ในขณะที่หลงถูตัวสั่นเทา
ฉีเติ่งเสียนไอและพูดขึ้น : “ฉันรู้ว่าบ้านตระกูลหลงเป็นบ้านที่ใจบุญมาโดยตลอด วันนี้เตรียมจะมาบริจาคมากน้อยแค่ไหนล่ะ?”
ผู้เฒ่าหลงตอบด้วยเสียงเรียบ : “งานเลี้ยงการกุศลในคืนนี้จัดขึ้นในรูปแบบของงานประมูล หากว่ามีของที่ต้องใจฉัน แน่นอนว่าฉันก็จะไม่หยั่งมือแน่”
ฉีเติ่งเสียนถอนหายใจและพูดขึ้น : “ผู้เฒ่าหลงผู้ยิ่งใหญ่ !”
ผู้เฒ่าหลงพูดขึ้นด้วยเสียงเย็น : “ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว พวกเราก็ขอตัวไปทักทายเพื่อนคนอื่นๆก่อน”
ฉีเติ่งเสียน : “เชิญครับ !”
คุณปู่และหลานชายเดินห่างออกไปราวกับอยู่ให้ห่างเทพแห่งความโชคร้าย แม้แต่ผู้เฒ่าหลงที่เท้าไม่ค่อยแข็งแรง ยังรีบเดินออกไปอย่างรวดเร็วราวกับบิน
ฉีเติ่งเสียนถอนหายใจออกมาเบาๆ สมกับที่สามารถทำให้หมอเทวดาซุนชิงเสวียนมาเป็นลูกศิษย์ได้จริงๆ ขาของผู้เฒ่าหลงถูกรักษาให้หายดีแล้วอย่างนั้นเหรอ?
“คุณเนี่ยนะ เอาชื่อเสียงของประเทศไปทำลายหมดแล้ว!” ฉีเติ่งเสียนที่ภายนอกดูนิ่งๆ ภายในคิดสนุกอยานั้น จู่ๆก็โดนคนมาแตะไหล่ เขาจึงหันไปมองแล้วพบกับใบหน้าที่แสนจะธรรมดา
นี่คืออวี้เสี่ยวหลงที่หลังจากการเปลี่ยนหน้าตาแล้วก็เปลี่ยนชื่อเป็นหลงเสี่ยวอวี้ เธอก็มาเข้าร่วมงานเลี้ยงการกุศลนี้ด้วย
ฉีเติ่งเสียนเห็นว่าอวี้เสี่ยวหลงแต่งตัวที่ดูเป็นทางการ เขาไม่เคยเห็นอวี้เสี่ยวหลงแต่งตัวแบบนี้มาก่อน แม้ว่าหน้าตาจะเปลี่ยนไป แต่รูปร่างก็ยังคงเหมือนเดิม….
อวี้เสี่ยวหลงสังเกตเห็นว่าสายตาของเขามองอยู่ที่ชุดด้านบนของเธอ เธอจึงอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วแล้วถามขึ้น: “คุณมองอะไรอยู่หนะ?”
ฉีเติ่งเสียน : “ฉันดูมันในนามของฉัน มีปัญหาอะไรมั้ย?”
อวี้เสี่ยวหลงเดินจากไปทันที เธอไม่ต้องการที่จะพูดคุยกับคนที่พูดยังไงก็ฟังแบบนี้มากเกินไป อีกอย่างที่กว่าเธอจะเปลี่ยนชื่อและมาที่นี่ ดังนั้นมันจึงไม่เหมาะสมถ้าเธอจะมีปฏิสัมพันธ์ที่มากเกินไปจนเป็นที่สังเกต
อย่างไรก็ตาม อวี้เสี่ยวหลงที่ห้าวหาญมาตลอด เวลามาใส่ชุดเดรสแล้วนั้นมันดูดีมากจริงๆ ! ฉีเติ่งเสียนไม่ได้ชอบมองหน้าอกหรือมองขา เขาแค่เชี่ยวชาญในการค้นพบความงามในชีวิตก็แค่นั้นเอง
เมื่อเวลาดำเนินมาถึงช่วงเวลาที่กำหนด งานในวันนี้ก็เริ่มขึ้นอย่างตรงเวลาจั่วเฉินเดินออกมาก่อนและเคารพทุกคนอย่างสุภาพ ในด้านผู้ที่ได้รับเงินบริจาคทุกคนก็แสดงความขอบคุณแขกผู้มีเกียรติ
หลังจากที่จั่วเฉินพูดจบก็มอบเวทีให้กับพิธีกร
พิธีกรมีความเป็นมืออาชีพมาก หลังจากที่ขึ้นมาบนเวทีก็ได้แนะนำของประมูลในวันนี้ให้ทุกคนทราบอย่างทะมัดทะแมง เนื่องจากเป็นรายการเพื่อสังคมสินค้าที่ประมูลจึงไม่ใช่ของโบราณที่ล้ำค่า แต่เป็นของที่เป็นที่ระลึกเสียมากกว่า
และในเวลานี้ หลั่วฮั่นที่มากับซ่งผู้พูดขึ้นด้วยเสียงใจเย็น : “งานเขียนอักษรขยะๆเช่นนี้ สามารถขายได้ในราคาหนึ่งล้าน ศิลปะกลายเป็นเครื่องมือของการประจบสอพลอกับอำนาจเน่าๆ เป็นอะไรที่ทำให้รู้สึกน่ารังเกียจและน่าขยะแขยงจริงๆ!”
ซ่งผู้ที่นั่งอย่างสงบเฉยอยู่ด้านข้าง โดยไม่มีการแสดงสีหน้าอะไรทั้งนั้น
เมื่อหลั่วฮั่นเริ่มเปิดปากพูด ทำให้บรรยาการในงานอดไม่ได้ที่จะรู้สึกทำตัวกันไม่ถูก ยังไงซะ เขาก็เป็นนักวิจิตอักษร เขามีคุณสมบัติที่พูดวิจารณ์ภาพเขียนอักษรนี้
“นี่เป็นงานการกุศล เงินจะมากน้อยเท่าไรก็สามารถบริจาคได้ !” มีคนเริ่มพูดเตือนสติขึ้นมา
“ศิลปะเองก็มีราคา งานเขียนพู่กันก็เป็นศิลปะที่มีราคาของมัน ภาพงานเขียนแบบนี้สามารถประมูลได้ในราคาหลักล้าน หากเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไปคงเป็นที่ขบขัน ! ในขณะเดียวกันคงทำให้ผู้คนคิดว่านี่เป็นการส่งเสริมอำนาจเน่าๆ!” หลั่วฮั่นพูดด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจอย่างมาก
จั่วเฉินอดไม่ได้ที่จะมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก
ฉีเติ่งเสียนเข้ารับหน้าที่ต่อในตอนนี้ เขาถามขึ้น : “หึม? อย่างนั้นอักษรแบบไหนถึงจะคุ้มค่ากับราคาหลักล้านล่ะ?”
เมื่อซุนเจี้ยนเฉินอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ยังดีที่ก่อนหน้านี้เคยเล่าพื้นเพของหลั่วฮั่นให้ฉีเติ่งเสียนฟังไว้บ้างแล้ว ไม่อย่างนั้นจากนิสัยเกียจคร้านของฉีเติ่งเสียนแล้ว คงไม่ได้เห็นเขาพูดอะไรออกไป
หลี่เสวียนเจินรีบพูดทับถมเข้าไป : “ซุนหยิงซูเธอเป็นผู้หญิงหยาบคาย จะมาแสร้งเป็นคนสง่างามอะไรกัน ทำมาใช้เงินล้านซื้องานเขียนอักษร พูดออกไปไม่กลัวขายขี้หน้าคนอื่นเขาเหรอ?”
ซุนหยิงซูพูดด้วยเสียงเย็นๆ : “ถึงฉันจะจ่ายเป็นร้อยล้าน ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณ ไอ้โง่ !”
หลั่วฮั่นก็พูดคล้อยตามไปด้วย : หยาบคาบจริงๆ ใช้เงินล้านซื้องานเขียนอักษร หากว่าเรื่องนี้แพร่ออกไปข้างนอก งานเขียนพู่กันคงกลายเป็นที่ขบขันในโลกของศิลปะ”
เขาหันไปมองฉีเติ่งเสียน : “คุณถามฉันว่างานเขียนแบบไหนถึงเหมาะสมกับราคาหลักล้าน? อย่างนั้นตอนนี้ฉันจะบอกคุณให้…..”
“ตัวอักษรของฉัน ถึงจะคุ้มค่ากับเงินหลักล้าน !”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มังกรผู้ทรงพลัง
ตั้งแต่ตอนที่ 217 ถ้าไม่อัพให้เต็มตอนก็คงต้องเลิกอ่านถาวรแล้ว...
อัพอีกวันไหนคะรับ...
ตอนละ6/7บรรทัด อัพใหม่ที...
ข้อความหายอีกแล้วครับ 280-284...
คนอัพไม่ดูเลยเหรอครับมันมาไม่กี่บรรทัดเอง...
ขาดตอนเลยครับ เนื้อหาไม่ครบแบบนี้...
ทำไมแต่ละตอนมันสั้นจัง...
253-264 ทำไมสั้นจังครับ...
ถ้าอัพมาแค่4, 5บรรทัดเลิกอัพเถอะ...
242 - 246 ข้อความขึ้นไม่ครบครับ...