เมื่อก้าวเข้าสู่ห้องหนังสือ จะรู้สึกได้ถึงกลิ่นที่หอมสดชื่น ห้องหนังสือเก่ามากแล้ว แต่เฟอร์นิเจอร์ภายในได้รับการทำความสะอาดตลอดเวลา จึงไม่มีกลิ่นเน่าเปื่อยโชยออกมา
คนที่ทำความสะอาดห้องหนังสือคือท่านผู้เฒ่าฉี
โต๊ะทำงานที่เรียบง่ายอย่างยิ่งวางอยู่ด้านหน้า โดยมีตู้หนังสืออยู่ด้านหลัง ซึ่งเต็มไปด้วยหนังสือคลาสสิกจากหลากหลายประเทศ รวมถึงหนังสือเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้อยู่หลายเล่ม
ข้างตู้หนังสือมีหุ่นตัวหนึ่ง บนตัวของหุ่น สวมชุดเครื่องแบบทหารสีดำ
หน้าอกของเครื่องแบบทหารสีดำเต็มไปด้วยเหรียญเครื่องอิสริยาภรณ์ที่น่าตกใจ แต่ละเหรียญ คือต้องสร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่เป็นพิเศษเท่านั้นถึงได้รับมัน!
และบนสายบ่าของเครื่องแบบทหาร มีมังกรสีทองห้าตัวที่พันตัวกันเป็นดาวมังกร ซึ่งกำลังส่องแสงเจิดจ้าภายใต้แสงแดดที่กระทบมาพอดี
“ให้ตายเถอะ! บรรพบุรุษตระกูลฉีของเรายังเคยมีบุคคลเช่นนี้ด้วยหรือนี่?” ฉีเติ่งเสียนอดไม่ได้ที่จะอุทาน หันหน้าไปทางฉีปู้อวี่
ฉีปู้อวี่ยักไหล่ แต่สายตากลับจ้องมองไปที่ข้อความบนผนังด้านหนึ่ง ข้อความตัวหนังสือดังกล่าวถูกตีกรอบ ซึ่งเป็นบทกวีโบราณ
เพียงจากตัวอักษรนี้ ฉีปู้อวี่ก็สัมผัสได้ถึงพลังที่ทะลุทะลวงถึงจิตวิญญาณ!
นักลายสือศิลป์ การเขียนอนุสาวรีย์ถือว่าเป็นระดับสูงสุด ตัวอย่างเช่น เหยียนเจินชิงเขียนอนุสาวรีย์ ทุกคำสามารถทะลุผ่านเบื่องล่างของอนุสาวรีย์ได้
ผู้เชี่ยวชาญด้านลายสือศิลป์ สามารถเจาะทะลุด้านหลังของกระดาษได้ นักลายสือศิลป์ สามารถเจาะทะลุเข้าไม้ได้ระดับหนึ่ง พลังพู่กันของเซียนลายสือศิลป์ สามารถเจาะทุละทองคำและหินได้
ไม่รู้ว่าจะเปรียบเปรยงานเขียนพู่กันเช่นนี้ยังไงดี ขอบเขตของลายสือศิลป์สูงมาก แต่สิ่งที่น่าตกใจกว่านั้นคือผลกระทบทางจิตวิญญาณ ราวกับว่าสิ่งที่เขียนนั้นปรากฏชัดไว้บนกระดาษและเจาะเข้าไปในจิตวิญญาณของมนุษย์
ฉีเติ่งเสียนเคยประลองกับปรมาจารย์อักษรศาสตร์หลัวฮั่นที่เมืองเผิงไหล เขียนกันหน้างาน ลายสือศิลป์ของเขาก็เป็นที่ตื่นตาตกใจ สามารถส่งผลต่อจิตวิญญาณของผู้คน แต่ภาพเขียนพู่กันภาพนี้ ให้ความรู้สึกก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น!
“ศิลาที่ถูกค้อนทุบนับพันถึงออกจากคีรีลึก วายุที่ลุกโชนเหมือนเรื่องสามัญ แม้ร่างต้องแหลกสลายก็หาได้กลัว ปรารถนาทิ้งความบริสุทธิ์ไร้ราคีของตนไว้ในโลกนี้” ฉีเติ่งเสียนก็ถูกอักษรนี้ดึงดูด เริ่มอ่านมันอย่างช้าๆ
ฉีปู้อวี่กล่าวว่า "บางทีท่านผู้เฒ่าอาจตั้งชื่อของแกจากบทกวีนี้"
ฉีเติ่งเสียนพยักหน้า ชื่อของเขาท่านผู้เฒ่าเป็นคนตั้งให้ บางทีคำว่า "เติ่งเสียน" ท่านผู้เฒ่าก็เลือกมาจากบทกวีนี้ เตือนให้เขาให้เป็นคนซื่อตรง
ฉีเติ่งเสียนเดินไปที่โต๊ะทำงาน เห็นข้อความบนโต๊ะ ซึ่งเป็นการสลักเอาไว้
“ดูเหมือนว่าจะแกะสลักด้วยเล็บ…” ฉีเติ่งเสียนมองดู แล้วใช้มือแตะมัน
“ความรุ่งโรจน์เป็นของราษฎร?”
“......เขียนได้ดีจริงๆ!”
หลังจากอ่านข้อความนี้แล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชม คำพูดสามารถสะท้อนถึงจิตวิญญาณและความคิดของบุคคล จากอักษรบนผนัง ถึงคำที่สลักไว้บนโต๊ะ ด้วยคำเหล่านี้เขาสามารถมองเห็นลักษณะนิสัยของบุคคลที่เขียนคำเหล่านี้ได้
“ลู่จ้านหลงมีความทะเยอทะยานอย่างมาก ดังนั้น ลายมือของเขาจึงโอ่อ่ามากเช่นกัน ซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความจริงใจและตรงไปตรงมา อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับคำเหล่านี้ ลายมือของเขายังขาดทักษะและความแข็งแกร่งเพียงเล็กน้อย ผู้ที่เขียนคำเหล่านี้ เกรงว่าขอบเขตหมัดมวยอาจถึงวัชระกาย (ขั้นการฝึก)!” ฉีเติ่งเสียนคิดกับตัวเอง
หากต้องการบรรลุวัชระกาย (ขั้นการฝึก) ขั้นแรกคือจิตใจ เพราะพลังของมนุษย์นั้นมีจำกัด แต่จิตใจนั้นไม่มีที่สิ้นสุด
เทคโนโลยีมาจากจินตนาการ เมื่อมีจินตนาการเท่านั้นจึงจะสามารถลงมือปฏิบัติได้
ความแข็งแกร่งของมนุษย์มาจากความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณ
หลังจากที่ฉีปู้อวี่เดินไปรอบๆ เขาก็พยักหน้าเงียบๆ และรู้สึกตกใจเล็กน้อย
ร่างของท่านผู้เฒ่าฉีปรากฏที่ประตู เขาเอามือไพล่หลัง แล้วพูดช้าๆ ว่า “นี่คือห้องอ่านหนังสือที่บรรพบุรุษเคยนั่งทำงาน ฉันจะมาทำความสะอาดเองทุกสัปดาห์ แสดงความเคารพ เพื่อไม่ให้ลืมความตั้งใจเดิม คนอื่นฝึกหมัดมวยจะมองเห็นแต่ตัวเอง สรรพสัตว์ และโลก...แต่แนวคิดของการชกมวยของนายคือการเห็นความกว้างใหญ่ของโลก เห็นความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต และในที่สุดก็เห็นความไม่มีนัยสำคัญของตัวเอง ดังนั้นจึงมีใจที่เกรงกลัว สิ่งนี้ สอดคล้องกับปรัชญาวิชาหมัดมวยของบรรพบุรุษของเราโดยบังเอิญ”
ฉีปู้อวี่แสดงความคิดเห็น: "ลงมือกับเขา ความกดดันทางจิตวิญญาณมากกว่าคนทั่วไปสองถึงสามเท่าจริงๆ สูญเสียจิตวิญญาณอย่างมาก และเป็นเรื่องง่ายที่จะละเลยและผิดพลาดในวิธีการต่อสู้ โดยพื้นฐานแล้วมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีข้อผิดพลาดในวิธีการต่อสู้ของอาณาจักรระดับเรา ถ้าเกิดข้อผิดพลาด มันจะถึงชีวิตได้”
ฉีเติ่งเสียนกล่าวว่า: "ไปกันเถอะ ที่นี่ก็ไม่มีอะไรให้ดู"
เขาดึงลิ้นชักออกมาอย่างไม่ตั้งใจ จากนั้นก็พบปืนพกสองกระบอกอยู่ข้างใน
“เอ่อ... ไม่น่าแปลกใจเลยที่ฝีมือแม่นปืนของพ่อดีขนาดนี้ มันเป็นกรรมพันธุ์!” ฉีเติ่งเสียนยิ้มอย่างช่วยไม่ได้เมื่อเห็นปืนทั้งสองกระบอก
“ใช้ปืนไม่เป็น จะนับว่าเป็นปรมาจารย์ได้อย่างไร” ฉีปู้อวี่แสดงความคิดเห็นอย่างไร้อารมณ์ ด้วยสีหน้าเย็นชา เผยให้เห็นท่าทางผู้สูงศักดิ์ออกมา
หลังจากเดินออกจากห้องหนังสือ ฉีเติ่งเสียน และท่านผู้เฒ่าฉีพูดคุยกันเป็นเวลานานในสวนลานบ้าน สนทนาถึงหลายๆ เรื่อง
อาหารเย็นของ ตระกูลฉีเลิศรสมาก เชฟเป็นมืออาชีพและอาหารที่ปรุงออกมาก็รสชาติอร่อย ซึ่งทำให้ทั้งฉีเติ่งเสียนและฉีปู้อวี่เพลิดเพลินกับมื้อค่ำ
“อาจารย์ สอนแม่ทำอาหารด้วยดีไหม?” ฉีเติ่งเสียนถาม
“จ้าวซือชิงน่ะเหรอ? สอนไม่ได้หรอก” ใบหน้าของอาจารย์ราวกับห็นผี เขาส่ายหัวแล้วหันหลังเดินจากไป
เจ้าคนดี จ้าวซือชิงมีชื่อเสียงฉาวโฉ่ในวงการอาหารแล้วเหรอ?
หลังอาหารเย็น ทั้งสองก็กลับบ้าน วันรุ่งขึ้นพวกเขาได้พบปะกับเฉินหยู หยางกวนกวนและคนอื่นๆ เพื่อเข้าร่วมการประชุมที่รัฐบาลกลาง
รัฐบาลกลางแห่งนี้ มีกลิ่นอายแห่งความสง่างาม
ท้ายที่สุดแล้วสถานที่แห่งนี้ เป็นตัวแทนของโชคชะตาและบุคคลิกของประเทศซึ่งแตกต่างไปจากที่อื่นโดยปริยาย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มังกรผู้ทรงพลัง
ตั้งแต่ตอนที่ 217 ถ้าไม่อัพให้เต็มตอนก็คงต้องเลิกอ่านถาวรแล้ว...
อัพอีกวันไหนคะรับ...
ตอนละ6/7บรรทัด อัพใหม่ที...
ข้อความหายอีกแล้วครับ 280-284...
คนอัพไม่ดูเลยเหรอครับมันมาไม่กี่บรรทัดเอง...
ขาดตอนเลยครับ เนื้อหาไม่ครบแบบนี้...
ทำไมแต่ละตอนมันสั้นจัง...
253-264 ทำไมสั้นจังครับ...
ถ้าอัพมาแค่4, 5บรรทัดเลิกอัพเถอะ...
242 - 246 ข้อความขึ้นไม่ครบครับ...