เข้าสู่ระบบผ่าน

มังกรผู้ทรงพลัง นิยาย บท 1906

เป่ยบูฉีรู้ดีว่าตนเองจบเห่โดยสิ้นเชิงแล้ว ท่านผู้นำทางศาสนาอาบาถูกสังหาร เขาเองก็ถูกจับได้คาหนังคาเขา และที่เลวร้ายที่สุดคือ พระสันตะปาปาผู้ทรงเกลียดชังศาสนาอาบาเข้ากระดูกดำ ไม่มีทางปล่อยเขาไปแน่นอน

ในขณะนี้การปรากฏตัวของฉีเติ่งเสียนยิ่งทำให้เขารู้สึกหนาวเย็นจับใจเย็นจนลึกถึงกระดูก

“เฮ้ พวกนอกรีต ตื่นแล้วสิอะ?”พระอัครสังฆราชเปิดปากมาพูดก็ฟาดใส่ราวกับสายฟ้าแลบ

สีหน้าของเป่ยบูฉีแข็งทื่อ พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว การตายของผู้นำทางศาสนา ทำให้ความศรัธทาความเชื่อทั้งหมดของเขาพังทลายลง ยิ่งไปกว่านั้น การถูกจับได้ในครั้งนี้ราวกับชะตากรรมที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

ฉีเติ่งเสียนสั่งให้นำเป่ยบูฉีออกจากห้องมืดเล็กๆ โดยตรง แล้วโยนเขาลงบนเก้าอี้นั่ง

“ทำไมคุณไม่ทำอย่างอื่นล่ะ ทำไมคุณถึงไปสมคบร่วมมือกับศาสนาอาบาและกลายเป็นคนนอกรีตด้วย ?คุณไม่รู้เหรอว่านิกายศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรากำลังปราบปรามลัทธินอกรีตนี้อยู่ตอนนี้” ฉีเติ่งเสียนเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าขณะยืนอยู่ตรงหน้าเป้ยบูฉี

คราวนี้เขาจับแกะอ้วนได้ทั้งตัวแล้ว จะมัวลังเลหรือหวังน้ำบ่อหน้าก็คงไม่ใช่เรื่องอีกต่อไป ดังนั้นจึงฟันแกะอ้วนลงด้วยมีดเล่มเดียวเฉือนให้เลือดไหลหมดตัวกันไปเลย

อย่างน้อยทั้งตระกูลเป่ยต้องล้มละลายเพราะเรื่องนี้ และสมาคมหัวเมิ่นก็จะต้องชดใช้ความเสียหายอันหนักหน่วงจากเรื่องนี้ ซึ่งจะต้องจ่ายราคาที่แพงมากเช่นกัน

เป่ยบูฉีมีสีหน้าที่หมองหม่น พูดว่า “ผมแค่ถูกหลอกลวง และทุกสิ่งที่ผมเคยพูดนั้นก็เป็นความจริง ทั้งหมดเป็นการแนะนำของสวี่เอ้าเสวี่ยที่แนะนำให้ผมรู้จักกับท่านผู้นำทางศาสนาอาบา”

ฉีเติ่งเสียนหัวเราะเยาะหลังจากได้ยินเรื่องนี้และพูดว่า“คุณไม่ควรใส่ร้ายเธอที่นี่ เธอเป็นบุคคลที่ให้ทุนสนับสนุนมหาวิหารอวตารของเรา ยิ่งกว่านั้นเธอยังมีอำนาจอยู่ในขณะนี้ ผมจะไม่เชื่อเลยว่าคุณต้องการทำให้เธออ่อนแอลงด้วยวิธีนี้”

เป่ยบูฉีไม่มีอะไรจะพูด ตอนนี้เขาเป็นปลาและคนอื่นเป็นมีด

“เอาล่ะ พูดมาเถอะ”เจ้าร่วมมือกับศาสนาอาบาได้ยังไง ข้าจะต้องจดบันทึกไว้ แล้วส่งมอบให้สมเด็จพระสันตะปาปา จากนั้นจะนำส่งต่อไปยังศาลศาสนา” ฉีเติ่งเสียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

ทันทีเมื่อได้ยินคำว่า “ศาลศาสนา”เป่ยบูฉีก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเทาไปทั่วทั้งร่างกายด้วยความกลัว เพราะเขายังประสบเหตุการณ์เลวร้ายเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งเกือบจะถูกจะพิพากษาอยู่

เป่ยบูฉีรู้ดีว่าโอกาสเดียวที่จะอยู่รอดชีวิตในตอนนี้คือการให้ความร่วมมือกับฉีเติ่งเสียนอย่างเต็มที่ ดังนั้นเขาจึ่งเริ่มเล่าเหตุการณ์ทุกอย่างที่เคยผ่านมาของเขา โดยไม่ปิดบังใดๆทั้งสิ้น

ฉีเติ่งเสียนสั่งให้เหล่าอัศวินแห่งแสงที่อยู่ข้าง ๆ บันทึกคำให้การเอาไว้ แม้ว่าบางเรื่องเขาก็ไม่ได้ให้บันทึกลงไปทั้งหมด เพื่อไม่ให้เกิดช่องโหว่หรือพิรุธใด ๆเขาเรียกสิ่งนี้ว่าบันทึกรายละเอียดที่เหมาะสมและการละเว้น

เมื่อเป่ยบูฉีถูกจับกุมตัว สมาคมหัวเมิ่นทั้งหมดก็ตกอยู่ในความตึงเครียดทันที สมเด็จพระสันตะปาปาเองก็ทรงมีเริ่มลงแรงกดดันอย่างหนัก ในขณะเดียวกัน ผู้นำระดับสูงจากประเทศฝั่งตะวันตกต่าง ๆ ก็ออกแรงกดดันเช่นกัน และร็อบเบนจึงนำกลุ่มอัศวินศักดิ์สิทธิ์ร่วมมือกับกองทัพสหรัฐฯเริ่มปฏิบัติการจับกุมผู้คนครั้งใหญ่ ในขณะเดียวกันไม่รู้ว่ามีคนจำนวนเท่าไรถูกจับกุมภายใต้ข้อหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกนอกรีต

หลังจากที่เป่ยบูฉีเล่าทุกอย่างจบลง ฉีเติ่งเสียนก็ปล่อยให้เขาได้พักหายใจบ้างเล็กน้อย จนกระทั่งยื่นกาแฟให้เขาหนึ่งแก้วเป็นรางวัลอีกด้วย

“ข้าต้องทำยังไงถึงจะรักษาชีวิตตัวเองไว้ได้ ในตอนนี้ข้าสำนึกผิดแล้วจริง ๆ ขอแค่โอกาสให้ข้าเถอะ”เป่ยบูฉีถามด้วยสีหน้าหม่นหมองที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง

“คุณรู้ไหมว่าสมเด็จพระสันตะปาปาทรงเกลียดชังศาสนาอาบามากขนาดไหน?ครั้งที่แล้วคุณก็เคยมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพวกนอกรีตมาแล้ว และครั้งนี้แถมยังส่วนเกี่ยวข้องกับศาสนาอาบา ไม่รู้จะอธิบายพฤกติกรรมการฆ่าตัวตายทางอ้อมของคุณยังไง ” ฉีเติ่งเสียน พูดด้วยสีหน้าเหนื่อยใจอย่างที่สุด

นี่เป็นเทคนิคที่เขาเรียนรู้มาจากพวกตำรวจเวลาจับคนร้ายได้ จะต้องขู่ให้หนักที่สุดเท่าที่จะทำได้ขู่จนอีกฝ่ายกลัวจนตกใจขวัญหนีดีฝ่อ หลังจากนั้นคนร้ายถึงจะยอม ให้ความร่วมมือแบบว่าง่า ไม่กล้าดิ้นอีกต่อไป

เป่ยบูฉีมีสีหน้าสลดลงสีทันทีราวกับสิ้นหวังหมดหนทาง พูดด้วยเสียงแผ่วเบาอย่างคนที่ใจแทบขาดว่า“อย่างนั้นข้าก็ต้องตายแน่ ๆ ใช่ไหม?”

ฉีเติ่งเสียนพูดด้วยน้พเสียงสงบนิ่งว่า“เจ้าก็ยังหนุ่มยังมีโอกาส ศาสนาศักดิ์สิทธิ์ของเราเน้นเรื่องความเมตตาและการไถ่บาป

ถ้าหากเจ้าสามารถกลับใจจากหนทางที่ผิด นั่นไม่ใช่หนทางแห่งการไถ่บาปหรอกหรือ?”

“ชีวิตคนในตระกูลเป่ยอาจไว้ชีวิตได้ แต่ทรัพย์สินของตระกูลเป่ยจะต้องถูกกวาดไปจนหมด”

“แน่นอน เรื่องนี้ต่อให้เจ้าจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจ ถึงยังไงก็ต้องให้ความร่วมมืออยู่ดี”

เมื่อได้ฟังคำพูดอย่างตรงไปตรงมาของฉีเติ่งเสียน หลายคนในกลุ่มอัศวินศักดิ์สิทธิ์ต่างก็ยิ้มมุมปากออกมาและพูดว่า “ขโมยที่บุกเข้าบ้านคือพระอัครสังฆราชที่เข้ามายึดทรัพย์สิน ”ประโยคนี้ก็ยังเป็นความจริงอย่างแน่นอนอย่างพูดออกมา

ถึงแม้ว่าเป่ยบูฉีจะคาดการณ์ถึงผลลัพธ์นี้ไว้แล้ว แต่สีหน้าของเขาก็ยังคงซีดเผือดเองอย่างไม่สามารถควบคุมได้

ตระกูลเป่ยสะสมทรัพย์สินไว้มูลค่ามากกว่าหมื่นล้านดอลลาร์ แล้วอย่างนี้จะถูกฉีเติ่งเสียนกวาดล้างไปหมดเลยหรือเปล่า?

แน่นอนว่าทรัพย์สินกว่าหมื่นล้านนี่ไม่ได้เป็นเงินสดทั้งหมดที่ฝากอยู่ในธนาคาร ยังต้องรวมพวกอสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ เข้าไปด้วย

“ศาสนาศักดิ์สิทธิ์แบบไหน นี่มันโจรชัดๆเลย! อ้างว่ายุติธรรม แต่พฤกติกรรมและการปล้นนั้นไม่ต่างกับการดูดเลือด!ในทางกลับกันถึงแม้ว่าศาสนาอาบาจะถูกกำหนดให้เป็นลัทธิโดยคุณ แต่ก็ไม่เคยทำอันตรายผู้อื่น อย่างเช่นศาสนาศักดิ์สิทธิ์ของคุณ บ้าเอ๊ย !”เป่ยบูฉีอยู่ในภาวะอารมณที่ขึ้นๆ ลงๆ จิตใจรวนเล และเริ่มร้องไห้และด่าทอ

ฉีเติ่งเสียนนั่งนั่งขัดสมาด มือทั้งสองประสานกันวางบนเข่า ใบหน้าเรียบเฉยสงบนิ่งไร้อารมณ์

ในใจเขายังพบว่ามันตลกเล็กน้อย ไม่คิดว่าเป่ยบูฉีจะนับถือศาสนาอาบาสูงขนาดนี้

“พอแล้ว จัดการตัวเองให้เรียบร้อย เดี๋ยวข้าจะให้คนไปส่งเจ้ากลับบ้าน เจ้าก็รู้ว่าควรทำอะไร ถ้าอยากรักษาชีวิตไว้ ก็อย่าคิดเล่นลูกไม้ ไม่อย่างนั้น ความพิโรธของสมเด็จพระสันตะปาปา พวกเจ้าจะรับไม่ไหว”ฉีเติ่งเสียนพูดพลางลุกขึ้นยืน ไม่คิดจะพูดอะไรต่ออีกแล้ว

ทุกคนต่างก็รู้จุดประสงค์ของกันและกันเป็นอย่างดี ตระกูลเป่ยต้องสูญเสียทรัพย์สิน เพื่อหลีกเลี่ยงหายนะ ไม่มีทางอื่นอีกแล้ว

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มังกรผู้ทรงพลัง