สวีเอ้าเสวี่ยก็เป็นคนที่อยู่หนานหยางมานานพอสมควร เธอเคยเจอกับเฉินหยูและพูดคุยกันอยู่หลายครั้ง และทราบดีว่าเป็นคนอย่างไร
เฉินหยูเป็นคนที่ฉลาดมาตั้งแต่ไหนแต่ไร อีกทั้งยังป่าเถื่อนอีกด้วย แต่ว่าตอนนี้เธอได้เลือกทางเลือกที่ทำให้สวีเอ้าเสวี่ยต่างก็รู้สึกเหลือจะเชื่อ ที่จะกระจายอำนาจออกไป
เช่นนี้หนานหยางก็ไม่ตกอยู่ใต้ตระกูลเฉินอีกต่อไป แต่จะมีผู้คนมากมายเข้าร่วมในการสร้างประเทศนี้มากขึ้น
การแปรเปลี่ยนเช่นนี้ยากที่จะให้ผู้คนรู้สึกเข้าใจ แต่เธอเข้าใจ บางทีอาจจะเป็นเพราะความสัมพันธ์ของฉีเติ่งเสียน จึงทำให้แนวคิดของเฉินหยูเกิดการเปลี่ยนแปลงมากเช่นนี้
ฉีเติ่งเสียนถาม “ใช้สายตาแบบนี้มองผม หมายความว่าอะไรครับ ไม่รู้จักผมแล้วงั้นเหรอ”
สวีเอ้าเสวี่ยกล่าว “เปล่าค่ะ ฉันแค่รู้สึกแปลกใจที่แนวคิดของเฉินหยูผู้นี้เปลี่ยนแปลงไปเป็นเพราะคุณหรือเปล่า”
ฉีเติ่งเสียนกลับกล่าวว่า “ ไม่ใช่ผมที่เปลี่ยนแปลงเธอ แต่เป็นเธอเองที่เปลี่ยนแปลงตัวเอง ยินยอมไปโอบกอดคนที่มีอารยธรรม ต่อไปก็ถูกอารยธรรมโอบกอดเช่นกัน”
เห็นได้ชัดแจ้งว่าหนานหยางกำลังเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง จะมีระบบที่ทำให้ดีขึ้นและสมบูรณ์ยิ่งขึ้นเพื่อควบคุมชนชั้นที่มีอำนาจและให้ผู้คนได้รับประโยชน์มากขึ้น
เฉินหยูเพื่อต้องการลดช่องว่างระว่างคนรวยกับคนจน เธอยังผลักนโยบายที่คนอื่นไม่กล้าคิดอีกด้วย
เมื่อกลุ่มผู้ด้อยโอกาสซื้อบ้าน ถึงแม้ว่าราคาบ้านจะไม่เปลี่ยน แต่ว่ารัฐบาลจะอัดฉีดเงินสมมทบเข้าไปในสวัสดิการประกันสังคม เพื่อเป็นการช่วยเหลือในการซื้อบ้านและเป็นการลดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน
เมื่อสวีเอ้าเสวี่ยฟังสิ่งที่ฉีเติ่งเสียนกล่าว เธอแอบขบฟัน ถ้าหากว่าประโยคนี้เป็นเพียงคำพูดลอย ๆ เธอจะไม่สนใจเลย แต่ว่าเฉินหยูกลับทำออกมาได้แล้ว สิ่งนี้ทำให้เธอรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก!
หลังจากที่ประสบความล้มเหลวอย่างไม่คาดฝันครั้งนี้มา ความเกลียดและความแค้นที่เธอมีต่อฉีเติ่งเสียนก็ดูเหมือนว่าปล่อยวางได้ไม่น้อยเลยทีเดียว อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็สามาถพูดคุยแบบเห็นหน้ากันอย่างสบายใจและสันติ
“ที่ยืนของคุณไม่ได้อยู่ที่หนานหยาง แต่อยู่ที่หัวกั๋ว ติดตามผมกลับไปเพื่อเป้าหมายอันยิ่งใหญ่นั่นของท่านฟู่เหล่าและพยายามไปด้วยกันเถอะ” ฉีเติ่งเสียนกล่าว
ฉีเติ่งเสียนเคยถามฟู่เฟิงหยุนอะไรคือความอิสระ ด้านเฟิ่งฟูหยุนจึงตอบกลับว่า “รัฐบาลปฏิบัติตามกฎหมาย ทุกคนเองต่างก็ต่อสู้เพื่อเป้าหมายนี้ของเขา”
ก็เป็นเพราะว่าประโยคนี้ทำให้จั่วเฉินยินยอมที่จะฟังคำพูดของฟู่เฟิงหยุน และยินยอมส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างเผิงไหลกับมาตุภูมิ
สวีเอ้าเสวี่ยกลับส่ายหัวและกล่าวว่า “ขอฉันคิดดูก่อน ตอนนี้ฉันไม่รู้เลยว่าอนาคตของตัวฉันเองอยากทำอะไรบ้าง”
ฉีเติ่งเสียนกล่าว “พระเจ้าประทานพรสวรรค์แก่คุณ อย่าได้ฝังมันง่าย ๆ ”
สวีเอ้าเสวี่ยกลับตะคอกเสียง ต่อให้ความสามารถของเธอจะโดดเด่นแค่ไหน ไม่ใช่ว่าแพ้ด้วยน้ำมือผู้ชายอย่างฉีเติ่งเสียนครั้งแล้วครั้งเล่าหรอกหรือ สิ่งนี้ทำให้เธอรู้สึกขัดใจเป็นอย่างมาก
แต่ว่าในใจของสวีเอ้าเสวี่ยตอนนี้กลับรู้สึกโล่งใจและปล่อยวางได้แล้ว เป็นเพราะว่าการปล่อยวางความแค้นอันแรงกล้านั่น บางทีอาจจะรู้สึกว่างเปล่า แต่กลับรู้สึกว่ามีอิสระมากขึ้น
หลังจากรับประทานอาหารอย่างค่อย ๆ ทาน ฉีเติ่งเสียนได้พาสวีเอ้าเสวี่ยไปดูคอนเสิร์ตเพื่อทำให้เธอรู้สึกสบายใจสักหน่อย
สิ่งที่เรียกว่าศิลปะการชมเทศกาลดนตรีนี้ ฉีเติ่งเสียนไม่สามารถดื่มด่ำได้จริง ๆ เขาไม่มีพรสวรรค์ทางด้านศิลปะนั่นเลย ดนตรีประเภทนี้เขาฟังแล้วรู้สึกหดหู่นิดหน่อย สู้ไป“เกิดในปีค.ศ. 1996 ดีกว่า ”
อย่างไรก็ตามสวีเอ้าเสวี่ยมักจะไปเยี่ยมชมสถานที่ระดับชั้นสูงตั้งแต่เธอยังเป็นเด็กและยังเข้าใจถึงความดื่มด่ำในงานศิลปะอีกด้วย เธอฟังด้วยความสนใจมากจนรู้สึกเคลิบเคลิ้มด้วยซ้ำ
หน้าตาของทั้งสองเป็นชาวจีน ฉีเติ่งเสียนรู้สึกว่ามีกลุ่มคนจับตาดูพวกเขาอยู่ในที่มืด
ถึงแม้ว่าคาปูซานได้ตายไปแล้ว ความวุ่นวายได้สงบลงแล้ว แต่ว่ายังมีชาวหนานหยางไม่น้อยที่ยังเป็นศัตรูต่อชาวจีนอยู่
“บทเพลงนี้ไพเราะมากจริง ๆ การแสดงมีสีสันและเข้าถึงอารมณ์…..” สวีเอ้าเสวี่ยปรบมือและแสดงความคิดเห็นหลังจากได้ฟังบทเพลงนี้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มังกรผู้ทรงพลัง
ตั้งแต่ตอนที่ 217 ถ้าไม่อัพให้เต็มตอนก็คงต้องเลิกอ่านถาวรแล้ว...
อัพอีกวันไหนคะรับ...
ตอนละ6/7บรรทัด อัพใหม่ที...
ข้อความหายอีกแล้วครับ 280-284...
คนอัพไม่ดูเลยเหรอครับมันมาไม่กี่บรรทัดเอง...
ขาดตอนเลยครับ เนื้อหาไม่ครบแบบนี้...
ทำไมแต่ละตอนมันสั้นจัง...
253-264 ทำไมสั้นจังครับ...
ถ้าอัพมาแค่4, 5บรรทัดเลิกอัพเถอะ...
242 - 246 ข้อความขึ้นไม่ครบครับ...