ลั่วหลันมองแผ่นหลังของต้าจื้อและเสี่ยวจื้อ ถอนหายใจเบา ๆ ส่ายศีรษะเอ่ยว่า
“เจ้ามิต้องรู้สึกซาบซึ้งอันใด ข้ามิได้เลือกคนมาใช้งานอย่างไร้เหตุผล หากมิใช่เพราะพี่ชายของเจ้าพิสูจน์ตนด้วยการกระทำว่าเขาคือคนที่ไว้ใจได้ ข้าคงมิปล่อยให้พวกเจ้าอยู่ได้นานเพียงนี้”
นางเอ่ยจบประโยค เสี่ยวจื้อก็พลันวิ่งหวนกลับมา ร้องเรียกเสียงดัง
“พี่หญิง ด้านหน้ามีผู้คนมุงดูกันมากมาย ดูท่าจะมีเรื่องสนุก พวกเราไปดูกันเถิด!”
ยังมิทันที่ลั่วหลันจะเอ่ยสิ่งใด อาหลีขมวดคิ้ว พลางเอ็ดเสี่ยวจื้อ “จะไปดูอะไรกัน เจ้าไม่รีบไปสำนักศึกษาแล้วหรือไร?”
เสี่ยวจื้อแลบลิ้นออกมา “ดูแวบเดียวเอง ไม่เสียเวลามากหรอก อีกอย่างต้าจื้อก็ไปแล้วด้วย”
ได้ฟังเช่นนั้น ลั่วหลันเงยหน้ามองไป ก็เห็นต้าจื้อกำลังเบียดเสียดเข้าไปในฝูงชน
พิจารณาดูฟ้าแล้ว เห็นว่ายังเช้าอยู่ นางจึงเอ่ยกับเสี่ยวจื้อว่า
“ดูเสร็จแล้วก็รีบกลับมานะ ข้าจะรอเจ้าอยู่ตรงนี้”
เมื่อได้รับคำอนุญาตจากลั่วหลันแล้ว เสี่ยวจื้อจึงพยักหน้ารับอย่างดีใจ ก่อนวิ่งตรงไปยังฝูงชน
สำหรับความคึกคักเช่นนี้ ลั่วหลันมิใคร่อยากจะเบียดเสียดเข้าไปดู นางกวาดสายตามองแผงร้านค้าโดยรอบ ตรงนั้นมีร้านขายถังหูลู่ นางจึงหันไปพูดกับอาหลีว่า
“ไปซื้อบิ่งถังหูลู่มาสักหน่อย”
อาหลีพยักหน้า ก่อนจะกวักมือเรียกชายชราผู้ถือถังหูลู่ ชายชราจึงรีบก้าวเท้าเข้ามาหา
“แม่นาง ต้องการถังหูลู่หรือ?”
อาหลีพยักหน้า แล้วหันไปถามลั่วหลัน “คุณหนู จะเอาสักกี่ไม้ดีเจ้าคะ?”
ลั่วหลันพยักหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เอาสี่ไม้ก็แล้วกัน พวกเจ้าสามคน คนละหนึ่งไม้ ส่วนอีกไม้เก็บไว้ให้ท่านอ๋อง ไม่รู้ว่าเขาจะได้ลิ้มรสมานานแค่ไหนแล้ว”
อาหลีหันไปบอกชายชราผู้ขายถังหูลู่
“เอาสามไม้”
ลั่วหลันขมวดคิ้ว “ข้าไม่ได้บอกให้เจ้าเอามาสี่ไม้หรอกหรือ?”
“ข้าไม่กินเจ้าค่ะ ของสิ่งนี้เย็น ข้ากลัวว่ากินมากเกินไปจะทำให้ไอ”
พูดจบ นางก็รับเอาถังหูลู่จากมือของชายชรามาสามไม้ จ่ายเงินเรียบร้อย แล้วจึงแบ่งให้กับต้าจื้อและเสี่ยวจื้อที่เพิ่งวิ่งกลับมาคนละไม้ ส่วนไม้ที่เหลือ นางก็ถือเอาไว้ในมือ
เมื่อต้าจื้อและเสี่ยวจื้อได้เห็นถังหูลู่ ต่างก็ยิ้มจนแก้มปริ
อาหลีอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามขณะเดินไปพลาง
“ข้างหน้ามีสิ่งใดครึกครื้นหรือ?”
เสี่ยวจื้อกัดถังหูลู่หนึ่งคำใส่ปาก เคี้ยวตุ้ย ๆ ก่อนเอ่ยเสียงอู้อี้ว่า
“มีคนกำลังแสดงหมัดมวย หวังจะได้เงินบ้าง แต่คนเหล่านั้นดูเสร็จก็เดินจากไป ดูท่าทางเขาคงไม่ได้เงินสักอีแปะ”
พูดถึงตรงนี้ เขาส่ายหน้าอย่างปลงพลางถอนหายใจ “คนผู้นี้ก็ช่างกระไร เป็นสายตรวจดี ๆ ไม่ชอบ กลับเลือกมาเร่ขายศิลปะหาเงิน?”
“ท่านคือ…”
เมื่อครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ฉางโซ่วถังในคืนนั้น เขาก็พลันตาสว่าง
“ท่านคืออวี้หวังเฟยหรือ?”
ลั่วหลันมองเขาพลางแย้มยิ้ม “ถูกต้องแล้ว ท่านมาทำสิ่งนี้ได้อย่างไร?”
จางหยวนส่ายศีรษะพร้อมยิ้มอย่างขมขื่น นิ้วของเขาเผลอกำกระบี่ในมือแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะเอ่ยว่า
“สิ่งนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายอันใด อาศัยฝีมือเลี้ยงชีพ วันไหนโชคดีก็ได้หลายร้อยอีแปะ พอเลี้ยงข้ากับแม่ได้แล้ว”
เมื่อได้เห็นสภาพของจางหยวนในตอนนี้ ลั่วหลันก็รู้สึกผิดต่อเขาอยู่บ้าง หากมิใช่เพราะเรื่องของนาง จางหยวนคงไม่ถูกลู่เหวยผู้นั้นใช้ความแค้นส่วนตัวมาแก้แค้นเช่นนี้ บางทีเขาอาจจะยังคงได้เป็นสายตรวจอยู่ก็เป็นได้
คิดได้ดังนั้น นางจึงเอ่ยออกไปด้วยความรู้สึกผิด
“จางหยวน ข้าขอโทษ หากมิใช่เพราะเรื่องของจวนอวี้อ๋อง...”
แต่จางหยวนกลับโบกมือ ขัดจังหวะคำพูดของนาง “อวี้หวังเฟยอย่าได้พูดเช่นนี้เลย ถึงแม้ว่าข้าเพิ่งเข้ารับตำแหน่งได้เพียงเดือนเดียว แต่ข้าก็เบื่อหน่ายกับการเป็นสายตรวจเต็มทนแล้ว การต้องคอยทำตามคำสั่งอันไร้ซึ่งคุณธรรมของเหล่าขุนนางสุนัขเหล่านั้น สู้มาหาเงินด้วยความสามารถของตนเองเช่นนี้ยังจะรู้สึกสุขใจเสียกว่า”
ทันทีที่เขาพูดจบ หญิงชราผู้หนึ่งแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเรียบง่ายก็พรวดพราดเข้ามาหาเขาด้วยท่าทีตื่นตระหนก
“หยวนเอ๋อร์ วันนี้เจ้าได้เงินเท่าไหร่หรือ? พวกเขามาอีกแล้วรึ?”
นางเอ่ยยังไม่ทันขาดคำ ชายฉกรรจ์สองคนก็เดินถือท่อนไม้ตรงรี่เข้ามา “นี่! วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วนะ ถ้าไม่คืนเงิน ข้าจะจับลูกชายเจ้าไปเป็นจับกัง!”

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พ่ายรักท่านอ๋องตัวร้าย
บทที่เคยปลดล็อกด้วยเหรียญไปแล้ว ทำไมกลับมาอ่านซ้ำไม่ได้...
เติมเหรียญแล้วแต่ปลดล็อกไม่ได้...