ตอนที่ 149 ผีดิบ
หลิ่วหลิ่วไม่พอใจกับ “การพบหน้ากันครั้งแรก” ของนางกับเซียวโธ่เป็นอย่างมาก
พอกลับไปที่จวนเฉิงเสี้ยงกับหลีโม่ ก็เริ่มพูดเหตุผลข้อสรุปทั้งหมดให้หลีโม่ฟัง
ตอนที่หยางมามายกน้ำชาเข้ามานั้น ก็พลันเหลือบไปเห็นแผลที่มือของหลีโม่ ขมวดคิ้วมุ่นถามขึ้นมาว่า “คุณหนูใหญ่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นรึเจ้าคะ?”
หลิ่วหลิ่วที่เพิ่งจะสังเกตเห็นก็เอ่ยถามว่า “มือเจ้าบาดเจ็บรึ?”
“ข้าแค่ไม่ระวังก็เลยถูกน้ำชาลวกมือเข้า ไม่เป็นอะไรหรอก” หลีโม่พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
หยางมามาจ้องมองนาง พูดอย่างมีนัยว่า “ต่อไปคุณหนูใหญ่ก็ระวังหน่อยนะเจ้าคะ”
“รู้แล้วๆ” หลีโม่รับปาก
ข้าวเย็นในวันนี้เป็นอาหารอย่างง่ายๆ คือมีเนื้อหนึ่งผักสอง คนทั้งสี่นั่งล้อมโต๊ะกันกินข้าว ส่วนหลี่ซื่อก่อนที่จะกินข้าว หยางมามาก็คอยปรนนิบัติให้นางก่อน
หลิ่วหลิ่วกินข้าวไปก็พูดกับหลีโม่ไป “ข้าจัดสัมภาระของข้าเรียบร้อยแล้ว ต่อไปข้าจะมาอยู่ที่นี่กับเจ้าด้วย”
หลีโม่ยิ้มแล้วพูดว่า “ที่นี่ข้าก็มีแต่อาหารง่ายๆ ให้เจ้า หากคุณหนูเช่นเจ้ากินได้ก็เข้ามาอยู่เถอะ”
“มีอะไรที่ข้ากินไม่ได้กัน? กับข้าวในชีวิตประจำวันของข้าก็ถูกคนถ่มน้ำลายใส่ หรือว่าที่นี่ก็ยังมีการถ่มน้ำลายใส่ข้าวรึ?”
“เรื่องนี้ทำไมเจ้าไม่พูดกับพี่ชายของเจ้าเล่า?” หลีโม่รู้ว่าเหล่าพี่สะใภ้ของนางล้วนใจดำกันทั้งนั้น ไม่เข้าใจเหตุผลเลยจริงๆ คุณหนูตระกูลเฉินที่ดูเหมือนยโสโอหังอย่างยิ่ง คิดไม่ถึงว่าจะไม่เอาไหนเช่นนี้
“พูดแล้วจะอย่างไร? พอพวกเขากลับไปตำหนิพวกนาง ต่อไปพวกนางก็จะไม่มาทำให้ข้าอึดอัดใจอยู่ดีรึ? อีกอย่าง ข้าก็ไปพูดกับท่านย่าไม่ได้ด้วย เพราะสองปีมานี้อีแก่สุขภาพไม่ค่อยจะดีนัก หากวันไหนอารมณ์ไม่ดีขึ้นมา โกรธใจหัวใจวาย มันไม่คุ้มกันหรอก”
เย็นเอ๋อร์จ้องมองหลิ่วหลิ่วตาโต “คุณหนูเฉิน เหตุใดท่านถึงเรียกท่านย่าของตัวเองว่าอีแก่เล่า? หากนางได้ยินจะไม่โกรธเอารึ?”
นางไม่ได้รู้สึกว่าไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสม “นางก็เรียกตัวเองเช่นนี้”
“นางเรียกตัวเองได้ แต่เจ้าเป็นหลานของนาง เรียกนางว่าอีแก่มันดูเหมือนไม่ให้ความเคารพกระมัง?”
หลิ่วหลิ่วเอียงหัวครุ่นคิด “จริงรึ? แต่ว่านางก็เรียกนายทหารชั้นผู้ใหญ่พวกนั้นว่าไอ้แก่ แต่ว่าในใจนางก็รักและเคารพพวกเขาเป็นอย่างมากนะ”
หลีโม่มองเย็นเอ๋อร์แล้วพูดว่า “เจ้าไม่อยากมีปัญหาพัวพันกับนาง นางไม่เข้าใจหรอก”
หยางมามายิ้มแล้วพูดว่า “ใช่ เย็นเอ๋อร์ เจ้ามาเถียงกับคุณหนูเฉินเช่นนี้ อาจจะทำให้เจ้าถึงตายได้เลยนะ เหล่าไท่จวินเลี้ยงนางมาตั้งแต่นางยังเล็ก ตอนนั้นเหล่าไท่จวินยังแข็งแรงใช้ชีวิตอยู่ในค่ายทหาร แม้ว่านางจะไม่ได้มีตำแหน่งขุนนาง แต่ฮ่องเต้ก็มักจะให้นางไปฝึกทหารอยู่ในค่ายเสมอ คุณหนูเฉินก็อยู่กับเหล่าทหารที่เหงื่อไหลราวกับฝนทุกวัน แค่คิดก็รู้แล้ว นางจะโตมาเป็นเช่นไร”
เย็นเอ๋อร์ตะลึงงันครู่หนึ่ง “แต่ว่าเด็กสาวต้องมีความเป็นเด็กสาวไม่ใช่หรือ?”
เฉินหลิ่วหลิ่วรำคาญปัญหาที่เรื้อรังเช่นนี้ “เย็นเอ๋อร์ เจ้าหุบปากซะ ไม่อย่างนั้นข้าจะเอาเจ้าไปโยนทิ้งกับพวกผีดิบที่หมู่บ้านสือโถวเลย”
“ผีดิบรึ?” เย็นเอ๋อร์สะดุ้งตกใจ “จะพูดเหลวไหลไม่ได้นะเจ้าคะ มีผีดิบที่ไหนกัน?”
“วันนี้ซูชิงพูดให้ข้าฟัง จิงเจ้าหยิ่นวันนี้ไปที่จวนอ๋องซื่อเจิ้ง บอกว่าที่หมู่บ้านสือโถวมีผีดิบ” หลิ่วหลิ่วกล่าว
หลีโม่นึกถึงจิงเจ้าหยิ่นที่มาในวันนี้ เพราะจะมาพูดเรื่องผีดิบงั้นรึ?
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” หลีโม่ไม่เชื่อว่ามีผีดิบอะไรนั่น แต่ว่าวันนี้หลังจากรักษาแผลให้ซือถูเย้นแล้ว อ๋องเหลียงก็กลับตำหนักแล้ว นางจึงหนีกลับมาที่จวนเฉิงเสี้ยงก่อน
“เจ้าไม่รู้รึ? ท่านอ๋องไม่ได้บอกเจ้ารึ? เจ้าอยู่ในห้องท่านอ๋องตั้งครึ่งค่อนวัน เขาไม่ได้บอกเจ้าเลยรึ? ท่านอ๋องไม่ใจเอาซะเลย เรื่องใหม่ขนาดนี้ยังไม่ยอมบอก”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พิษรักองค์ชายโฉมงาม
จบแบล้วววววว...
900 ตอนแล้ว ชีวิตของหลีโม่แทบหาความสุขไม่เจอเลย แถมลูกก็ถูกคนอื่นเอาไปทิ้งอีก สงสารจับใจ...
ตะว่าไปเรื่องนี้หมุยเฟยกับฮ่องเต้เลวร้ายแบบกินกันไม่ลงนะ ทำร้ายทุกคนที่ดีกับตัวเอง แล้วแางว่าจำเป็นๆ กลับเป็นพวกอี๋เฟยซะอีกที่แย่งแยกพวกำองชัดเจนไปเลย หมุยเฟยนี่นับว่าเป็นคนที่ได้ดีจากการเนรคุณผู้คนรอบข้างโดยแท้...
ฮ่องเต้กับลู่กงกงนี่ ตอนตายคงมีกันแค่ 2 คนละนะ...
อี๋เฟยนี่คือนางฉลาดสุดละในบรรดาเมียของเต้...
ท่านซือถูเย่นใจเย็นๆจากสุราก่อนเจ้าค่ะ สนใจยัยน้องด่วนเด่วจะโดนมิใช่น้อย55555...
โธ่ๆท่านซือถูเย่น เค้าลางกลัวว่าที่ภรรยาในอนาคตมาแต่ไกล รีบซ่อนสุราเลยนะ แต่ไม่น่าจะทัน หลอกใครก็หลอกได้แต่ไม่ใช่กับแม่นางหลีโม่555555...