พิษรักองค์ชายโฉมงาม นิยาย บท 312

ตอนที่ 312 หยางมามาถูกเรียกตัวกลับวัง

ตอนที่หลีโม่ไปถึง ช่างก่อสร้างก็แบกอิฐเข้าไปด้านในแล้ว

เตาเหล่าต้าเองก็ช่วยแบกอิฐเข้าไปด้วยเช่นกัน เมื่อเห็นหลีโม่มาถึง ก็เช็ดเหงื่อบนหน้าผากตนเล็กน้อย ยิ้มกว้างจนเห็นฟัน “คุณหนูใหญ่กลับมาแล้วหรือขอรับ?”

เย้นเอ๋อร์ยิ้มแย้มพูดว่า “ตอนนี้ควรจะเรียกว่าพระชายาอ๋องซื่อเจิ้งแล้ว”

“พระชายาอ๋องซื่อเจิ้ง!” เตาเหล่าต้าหัวเราะฮิๆ มีท่าทางเขินอายเล็กน้อย

เมื่อหลีโม่เห็นจึงหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเหงื่อให้เขาครู่หนึ่ง “เหนื่อยไหม?”

“ไม่เหนื่อยขอรับ มีงานให้ทำ ย่อมดีอยู่แล้วขอรับ!” ช่วงนี้เตาเหล่าต้าอยู่ว่างๆ มาโดยตลอด จึงรู้สึกกระวนกระวายใจ เขามักจะคิดว่า ทุกๆ วันเขามีเนื้อกิน แต่กลับไม่ได้ทำงาน เขาจึงรู้สึกละอายใจต่อหลีโม่และเสี้ยนจู่

“พักผ่อนบ้างนะ” หลีโม่กล่าว “ท่านแม่ล่ะ?”

“อ่านหนังสืออยู่ในเรือนไม้ขอรับ” เตาเหล่าต้าพูด

หลีโม่เดินเข้าไป ก็เห็นว่าเธออ่านหนังสืออยู่ในเรือนไม้จริงๆ เมื่อเห็นหลีโม่มาถึงแล้ว จึงยิ้มให้แล้วกล่าวว่า “มาแล้วงั้นหรือ?”

“เจ้าค่ะ จริงสิ เฉินหลิงหลงอยู่ที่ไหนเจ้าคะ?”

หลี่ซ่วยหยุ่นชี้ไปที่เรือนเดี่ยวครู่หนึ่ง “ขังเอาไว้ในนั้นชั่วคราวก่อน”

“ท่านแม่คิดจะจัดการกับนางอย่างไรเจ้าคะ?” ความหมายขอหลีโม่ก็คือฆ่านาง จะได้ไม่ต้องมาเห็นดวงตาที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ

หลีซ่วยหยุ่นวางหนังสือลง “เจ้าคิดว่าเช่นไรล่ะ?”

หลีโม่พูดว่า “ข้าคิดว่าไม่จำเป็นต้องไว้ชีวิตนาง สตรีเยี่ยงนี้ ไม่ช้าก็เร็วต้องเกิดความหายนะขึ้นมา”

หลีโม่ ส่งเสียง “อืม” ขึ้นมา แต่ว่านางกลับมีความคิดของตัวเอง “ฆ่านางก็ไม่มีประโยชน์อะไร หลีโม่เองก็กลับมาไม่ได้แล้ว ไว้ชีวิตนางเถอะ”

หลีโม่รู้สึกว่ามันยากจะยอมรับได้ “ไว้ชีวิตนางงั้นหรือ? ความหมายของท่านแม่คือท่านยังอยากจะเลี้ยงดูนางงั้นหรือเจ้าคะ?”

“ข้าสั่งให้คนสร้างกรงเอาไว้ให้นาง ต่อไปนางจะต้องใช้ชีวิตอยู่ในกรง อีกอย่างข้าก็คิดว่าจะย้ายป้ายบรรพบุรุษทุกป้ายของตระกูลเสี้ยเข้ามาในเรือนเดี่ยวทั้งหมด ต่อไปหากเฉินหลิงหลงตายแล้ว ก็เพิ่มมาอีกหนึ่งป้าย ให้นางเป็นฮูหยินตระกูลเสี้ยเถอะ”

ทันใดนั้นหลีโม่ก็เข้าใจความหมายของหลี่ซ่วยหยุ่น นางต้องการให้บรรพบุรุษตระกูลเสี้ยงทั้งหมดได้เห็นเฉินหลิงหลงในทุกๆ วัน จ้องมองนาง และเฉินหลิงหลง และได้กลายเป็นฮูหยินของเสี้ยห้วยจุน นักฆ่าที่ออกมาจากกำแพงและได้สังหารเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลเสี้ยง กลายเป็นฮูหยินของตระกูลเสี้ยง

เป็นสิ่งที่ปรารถนาในใจของเฉินหลิงหลงตลอดมาไม่ใช่หรือ? นางปรารถนาอยากจะเป็นฮูหยินมาโดนตลอด

สิ่งนี้มันมีความหมายมากกว่าการฆ่านางเสียอีก

เมื่อหลี่ซ่วยหยุ่นเห็นหลีโม่ไม่พูดไม่จา ก็นึกว่านางจะคัดค้าน จึงถอนหายใจออกมาเบาๆ “อันที่จริงแล้ว ก็ใช่ว่าข้าไม่อยากจะฆ่านาง เพียงแต่ว่า ถึงยังไงนางก็คือมารดาของฮ่าวหราน”

เมื่อคิดถึงเสี้ยฮ่าวหราน ในใจของหลีโม่ก็รู้สึกเป็นทุกข์ขึ้นมาอย่างฉับพลัน “ความจริงแล้ว เฉินหลิงหลงเองก็ไม่เคยรักฮ่าวหราน ตั้งแต่ฮ่าวหรานเกิดเรื่องจนถึงตอนนี้ แม้แต่ถามนางก็ไม่เคยถาม ในใจของนาง ฮ่าวหรานไม่มีประโยชน์อันใดที่คุ้มค่าต่อนาง”

“ฮ่าวหรานเป็นคนไร้เดียงสา เขาไม่มีทางคิดมากขนาดนั้น เขาเพียงคิดว่า เฉินหลิงหลงคือมารดาที่ให้กำเนิดเขา เขาต้องเชื่อฟังนาง คนอื่นบอกให้หรานให้รู้ว่า ข้าคือแม่ใหญ่ เขาก็เลยเคารพข้า หลีโม่ เจ้าไม่ได้ดูแลฮ่าวหรานตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ เจ้าไม่รู้หรอกว่าเด็กคนนี้น่ารักมากเพียงใด และเจ้าจะต้องทนไม่ได้ที่จะทำให้เขาเสียใจแม้เพียงนิดเดียว”

ความจริงแล้วหลีโม่เข้าใจ ในเวลาที่เยือกเย็นเช่นนั้น ต่อให้จะมีสิ่งที่ดีอยู่เพียงน้อยนิด ก็ทำให้คนไม่สามารถลืมมันไปได้ตลอดชีวิต

ก็เหมือนกับวันนั้นตอนที่อยู่ปากทางเข้าของจวนเฉิงเสี้ยง นางถูกขังอยู่ด้านนอก เป็นกุ้ยหยวนที่ให้น้ำและหมั่นโถวกับนาง บุญคุณครั้งนั้น นางก็ไม่เคยลืมเช่นกัน

ฮ่าวหรานที่เป็นคนไร้เดียงสา เขาเคยให้เสียงหัวเราะและความหวังกับหลี่ซ่วยหยุ่นผู้ที่มีหัวใจดั่งเถ้าที่ดับมอดไปแล้ว ดังนั้น นางจึงคิดถึงความดีส่วนนี้ของฮ่าวหรานมาโดยตลอด

นางพูดว่า “ท่านแม่ ท่านอย่างจะทำเช่นไรก็ทำเช่นนั้นเถอะเจ้าค่ะ นางคือคู่อริของท่าน ท่านมีอำนาจตัดสินใจจัดการอย่างไรกับนางก็ได้”

หลีโม่มองไปที่นาง มักจะรู้สึกว่านางยังมีเหตุผลอื่นอีก

หลี่ซ่วยหยุ่นหยิบหนังสือขึ้นมา ครั้นแล้วก็นั่งลงอย่างสงบ ความจริงแล้วที่หลีโม่เดามานั้นไม่ผิดยังมีเหตุผลที่สำคัญมากอย่างหนึ่ง

นั่นก็คือ หากเฉินหลิงหลงตาย นางก็เหมือนกับคนที่สูญเสียเป้าหมายของการมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว

เมื่อก่อนนางคอยประคับประคองมาตลอด ขอเพียงได้แก้แค้น ตอนนี้นางสามารถฆ่าเฉินหลินหลงได้ในดาบเดียว แต่หลังจากฆ่านางไปแล้วล่ะ?

ใจดวงนี้ก็คงว่างเปล่าแล้ว

องค์รัชทายาทซือถูเย่ย่อมต้องฆ่าคนที่ทำร้ายหลีโม่ แต่นางรู้ว่า ซือถูเย่ไม่ใช่คนที่นางจะแตะต้องได้ ดังนั้น นางจึงต้องไว้ชีวิตของเฉินหลิงหลง เพื่อหลอกตัวเองไปวันๆ

หลีโม่มองเฉินหลิงหลงอยู่ที่ประตู นางขดตัวอยู่ในกรง ดูน่าเวทนาเป็นอย่างมาก นางไม่เคยคิดเลยว่านางจะมีจุดจบเช่นนี้

เมื่อเห็นหลีโม่ นางก็เงยหน้าขึ้นมาอย่างฉับพลัน คิดไม่ถึงว่านางก้มหัวทำความเคารพให้หลีโม่ “คุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่ ขอร้องท่านล่ะ ปล่อยข้าไปเถอะ ปล่อยข้าไปเถอะ”

หลีโม่คิดถึงวันนั้นขึ้นมา นางนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ระเบียงทางเดินหน้าจวน สีหน้าท่าทางที่โหดเหี้ยม ท่าทางเช่นนั้นแทบอดใจรอไม่ไหวอยากจะฆ่าเจ้าของเดิมให้ตายแดดิ้นไป

เพียงไม่กี่เดือน ทุกอย่างก็จะเลวร้ายลง

อันที่จริงก็ไม่จำเป็นต้องฆ่านางแล้ว

หลีโม่คิดเช่นนี้ก่อนจะเดินจากไป

จวนเฉิงเสี้ยงเริ่มทำการก่อสร้าง หลังจากการก่อสร้างอย่างหนัก ย่อมไม่ใช่จวนเฉิงเสี้ยงอีกต่อไป หลีโม่เคยถามหลี่ซ่วยหยุ่น อยากจะแขวนป้ายอะไรหรือไม่ หลี่ซ่วยหยุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็พูดว่า “งั้นก็เรียกว่าทิงอวี่เซวียนเถอะ” (ทิงอวี่เซวียน = เรือนฟังเสียงพิรุณ)

ชื่อจวนเป็นอีกชื่อ และเปลี่ยนชื่อลานบ้านเป็นอีกชื่อ แต่หลีโม่ก็เข้าใจความหมายของนาง ต่อไปสิ่งที่นางต้องการก็คือการมีชีวิตเพื่อได้นอนฟังเสียงสายลมกรรโชกและสายฝนที่ซัดสาดตลอดทั้งคืน และไม่ต้องใช้ความคิดกับเรื่องราวของโลกมนุษย์อีก

พริบตาเดียว ก็ผ่านไปแล้วสองเดือน

ในสองเดือนที่ผ่านมานี้ หลีโม่และซือถูเย้นก็ใช้ชีวิตไปอย่างสงบสุขมาก ทุกคนต่างก็มี่ชีวิตที่ดีไม่น้อย เหมือนกับว่าทุกอย่างในเมืองหลวงสงบลงไปแล้ว

แต่คลื่นในเมืองหลวงไม่มีทางราบรื่นราวกับกระจกแน่นอน ความสงบทั้งหมด ล้วนเป็นเพียงพายุอันบ้าคลั่งที่เตรียมจะปะทุขึ้นเท่านั้น

วันที่สามเดือนสิบเอ็ด ฮองเฮามีพระราชเสาวนีย์ลงมาว่าพานดานกับหยางมามาย้ายกลับเข้าวัง

ฮองเฮาไม่ไว้ใจหยางมามาแล้ว หลังจากหยางมามากลับวัง จะเจอกับโชคร้ายอะไรบ้าง หลีโม่ย่อมรู้ดี

ดังนั้น วันต่อมาหลังจากหยางมามากลับวัง หลีโม่ก็เข้าวังไปพบฮองเฮา

ในสองเดือนนี้ นางในฐานะที่เป็นพระชายาอ๋องซื่อเจิ้ง ก็เคยเข้าไปไปถวายพระพรอยู่บ่ายครั้ง และแน่นอน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือจะต้องไปถวายพระพรไท่ฮองไท่เฮา ทางฮองเฮาก็ไปเช่นเดียวกัน แต่ฮองเฮาไม่ค่อยอยากพบนางอย่างเห็นได้ชัด มักจะใช้ความไม่สบายมาไล่นางกลับไป

หลีโม่ไปถวายพระพรไท่ฮองไท่เฮาก่อน อยู่คุยเป็นเพื่อนไท่ฮองไท่เฮาพักหนึ่ง ถึงไปที่พระตำหนักจิ่งหนิง

ครั้งนี้ฮองเฮาไม่ได้หาข้ออ้างมาขายผ้าเอาหน้ารอด ทั้งยังอนุญาตให้นางเข้ามาด้านในด้วย

หลีโม่พาเย้นเอ๋อร์มาด้วย เดินบนพื้นหินขาวที่สะอาดและเรียบเนียนในพระตำหนักจิ่งหนิง พื้นเงาวาวจนเป็นกระจกได้ นางก้มหน้าลง ก็แทบจะสามารถมองเห็นเงาของตนได้

ฮองเฮานั่งอยู่ในตำแหน่งสูงสุดของพระตำหนักกลาง ราวกับว่าเป็นครั้งแรกที่หลีโม่เข้าวังมาเข้าเฝ้าอย่างไรอย่างนั้น ยืนอยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง ดูโอหังอย่างยิ่ง

ส่วนหยางมามาก็ยืนอยู่ข้างนาง หลีโม่เห็นรอยนิ้วมือบนใบหน้าของนาง ในใจของนางก็จมดิ่งลงไปเล็กน้อย

“ถวายพระพรฮองเฮา!” หลีโม่ก้าวขึ้นไปแสดงความเคารพ

เมื่อฮองเฮาพบนาง ใบหน้าก็ยกยิ้มขึ้นมาอย่างฉับพลัน รอยยิ้มที่มาได้อย่างง่ายดายนั้น ราวกับว่ามีตะขอติดอยู่ตรงมุมปาก ทั้งยังเป็นรอยยิ้มที่แสนจะอบอุ่นเสียด้วย

“หลีโม่ เจ้าไม่จำเป็นต้องพิธีรีตองขนาดนี้ก็ได้ ตอนนี้พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว เข้ามานั่งเถอะ!”

หลีโม่ถอนสายบัว แล้วเดินเข้าไปนั่งลง “ขอบพระทัยฮองเฮา!”

“เจ้าเองก็เรียกข้าว่าพี่สะใภ้เหมือนกับเหล่าซีไม่ใช่หรืออย่างไร? จะมาเรียกฮองเฮาอะไรกัน ดูห่างเหินเกินไปแล้วกระมัง!” ฮองเฮาอมยิ้มแล้วกล่าว

หลีโม่กลับรู้ว่า ซือถูเย้นเรียกนางว่าพี่สะใภ้น้อยมาก เขาเรียกฮองเฮาเป็นส่วนมาก

“เพคะ!” ตอบกลับ

เมื่อฮองเฮาเห็นหลีโม่นั่งลง ก็พูดกับหยางมามาว่า “ยังไม่ไปชงชาอีกหรือ? ออกจากวังไปไม่กี่เดือน แม้แต่จะปรนนิบัติดูแลคนก็ไม่เข้าใจแล้ว”

น้ำเสียงของนางทั้งเด็ดขาดและถากถางเป็นที่สุด ราวกับว่าพูดให้หลีโม่ฟังอย่างไรอย่างนั้น

หยางมามาโค้งตัวลง “เพคะ หม่อมฉันจะไปเดี๋ยวนี้เพคะ”

นางรีบร้อนออกไป ตอนที่เดินผ่านข้างกายหลีโม่ ก็ส่งสายตาให้กับหลีโม่เพื่อบอกหลีโม่ว่าอย่าได้ออกหน้าเพื่อนาง

ทั้งสองคนผ่านความยากลำบากด้วยกันมาหลายเดือน ย่อมรู้ใจกัน เพียงแสดงออกมาผ่านแววตา ก็สามารถรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายอยากจะพูดอะไร

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พิษรักองค์ชายโฉมงาม