ตอนที่ 43 บาดเจ็บที่ขา
ยามโหย่วโดยประมาณ หลี่โม่พูดกับฮองเฮาว่า “เหนียงเหนียง สถานการณ์ในตอนนี้ของเตี้ยนเซี่ยคงที่มากขึ้นแล้วเพคะ สามารถกลับตำหนักได้แล้วเพคะ”
ฮองเฮาถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก รออยู่ประมาณหนึ่งวันเต็ม ก็กลับไปยังสถานที่ที่หลีโม่ได้กล่าวไว้
“มา รีบมาต้อนรับเร็วเข้า” หยางมามาตะโกนขึ้นในทันที
หลีโม่เดินขึ้นหน้า แล้วพูดกับฮองเฮาว่า “ฮองเฮาเหนียงเหนียง หม่อมฉันขอนุญาตกล่าวกับท่านเป็นการส่วนตัวสักสองสามประโยคได้ไหมเพคะ?”
จิตใจที่เพิ่งจะผ่อนคลายลงของฮองเฮาได้ขยายขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นก็เดินไปเล็กน้อย แล้วถามขึ้นด้วยความตึงเครียดว่า “มีเรื่องอะไร? ใช่อาการป่วยที่เปลี่ยนแปลงไปหรือไม่?”
หลีโม่ส่ายหน้า “ไม่ใช่เพคะ เหนียงเหนียงอย่าเพิ่งกังวลเพคะ อาการป่วยของอ๋องเหลียงเตี้ยนเซี่ยในเวลานี้คงที่มากเพคะ เพียงแค่ระบายออกอย่างต่อเนื่องอีกสองครั้งและมียาปรับความสมดุลเป็นตัวช่วยด้วย สักประมาณครึ่งเดือนก็ไม่เป็นอะไรแล้วเพคะ ส่วนอาการลมชัก ต้องรอให้ร่างกายฟื้นตัวก่อน แล้วทำการรักษาด้วยการฝังเข็มอีกครั้ง วิธีนี่ต้องใช้เวลารักษาค่อนข้างนาน รีบร้อนไม่ได้เพคะ ”
“อาการชักที่เจ้าพูดถึง จริงๆแล้วก็คือ......ลมบ้าหมูใช่ไหม?” ฮองเฮาไม่ค่อยอยากจะพูดคำว่าลมบ้าหมูสามคำนี้ออกมาเท่าไหร่นัก สำหรับนางอาการนี้ มักจะเกิดขึ้นในหมู่คนที่ด้อยกว่าหรือไม่ก็บ้าเท่านั้น
“ใช่เพคะ ลมชักคือชื่ออย่างเป็นทางการเพคะ ลมบ้าหมูเป็นคำเรียกพื้นเมืองทั่วไปเพคะ สิ่งที่หม่อมฉันกำลังจะบอกก็คือ อาการป่วยนี้ไม่ร้ายแรงมากนัก เพราะในตอนที่อาการกำเริบขึ้นมาร่างกายจะส่งสัญญาณเตือนออกมา จึงยังพอรับมือได้ทันเวลาเพคะ โรคนี้ทำให้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก นั้นเป็นเพราะว่ามันไม่ได้มีสัญญาณเตือนก่อนล่วงหน้า เมื่ออาการกำเริบอย่างฉับพลันครอบครัวหรือคนใกล้ตัวไม่รู้วิธีการจัดการ จึงทำให้น้ำลายหรือไม่ก็เลือดเข้าไปในหลอดลมจนเกิดอาการสำลักจนเสียชีวิตเพคะ”
เมื่อฮองเฮาได้ยินนางอธิบายเช่นนี้ ก็วางใจลง “ในตอนที่เจ้าเข้ามาในวังครั้งแรก เจ้าบอกว่าสามารถรักษาด้วยวิธีการฝังเข็มเพื่อเจาะเลือดออกใช่หรือไม่?”
“นี่เป็นเพียงแค่วิธีการทั่วไปเพคะ เมื่อทำแล้วจะค่อนข้างซับซ้อนมาก เพราะมันต้องไปกระตุ้นระบบประสาทในสมองด้วย......” หลีโม่เงียบไปสักพัก เพราะรู้สึกหากพูดเรื่องนี้ฮองเฮาอาจจะไม่ค่อยเข้าใจนัก จึงได้พูดอธิบายอย่างง่ายว่า “สำหรับการรักษาโรคนี้ หม่อมฉันสามารถจัดการได้แน่นอนเพคะ”
“งั้นที่เจ้าบอกอยากจะคุยกับเปินกงเป็นการส่วนตัวนั้นคืออะไร?” ฮองเฮามองไปทางนางด้วยความสงสัย ไม่นานก็มองออกได้ในทันที จึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆว่า “เจ้าจะคุยกับเปินกงเรื่องครอบครัวของเจ้าใช่หรือไม่?”
หลีโม่อึ้งงันไป “ครอบครัวหรือเพคะ? เรื่องครอบครัวค่อนข้างพูดยากนักเพคะ อีกอย่างมันก็ไม่เหมาะสมที่จะพูดขึ้นที่นี่ด้วย หม่อมฉันแค่อยากจะพูดเรื่องขาที่บาดเจ็บของอ๋องเหลียงเตี้ยนเซี่ยเพคะ หม่อมฉันคิดว่าตอนที่ท่านอ๋องทำแผล น่าจะพบขั้นตอนการทำที่ผิดพลาด จึงทำให้กระดูกเกิดขึ้นผิดตำแหน่ง ส่งผลให้ไขข้อก็ผิดตำแหน่ง และเกิดหักลงในที่สุด กระดูกจึงได้กดทับเส้นประสาท ทำให้เดินไม่ค่อยสะดวกนัก และยังส่งผลให้เกิดอาการเจ็บปวดราวกับกระแสไฟฟ้าอีกด้วยเพคะ นี่เป็นอาการที่ทุกข์ทรมานอย่างมากเพคะ หม่อมฉันจึงเลยอยากจะขอร้องเรื่องหนึ่งเพคะ หวังว่าฮองเฮาจะทรงกรุณาตอบรับเพคะ”
น้ำตาไหลร่วงลงมาจากดวงตาของฮองเฮา ริมฝีปากสั่นเครือเล็กน้อย ถึงแม้ว่าจะพยายามควบคุมมันไว้ก็ตาม แต่น้ำเสียงก็ยังคงสั่นเทาอยู่ดี “พูดมา”
หลีโม่จึงพูดขึ้นด้วยความนอบน้อมและจริงใจว่า “หม่อมฉันของถอนหมั้นเพคะ มันไม่ยุติธรรมต่อท่านอ๋อง ดังนั้นหม่อมฉันเลยอยากจะชดใช้ให้กับท่านอ๋อง ถ้าฮองเฮาเหนียงเหนียงเชื่อใจหม่อมฉัน ช่วยทรงอนุญาตให้หม่อมฉันทำการรักษาขาที่บาดเจ็บของอ๋องเหลียงเตี้ยนเซี่ยด้วยเถอะเพคะ”
ฮองเฮาถามขึ้นด้วยความซาบซึ้งใจ “เจ้ามีวิธีหรือ?”
“มีหลากหลายวิธีการเพคะ แต่ว่า ในขั้นตอนการรักษานั้น อ๋องเหลียงเตี้ยนเซี่ยจะได้รับความเจ็บปวดรวดร้าวมากเพคะ” การต่อกระดูกที่หัก ไม่มีแม่แต่ยาชา ทำได้เพียงฝังเข็มเพื่อลดการเจ็บปวด ซึ่งผลลัพธ์จะไม่เท่ากับฤทธิ์ยา ดังนั้นไม่รู้ได้ว่าอ๋องเหลียงจะสามารถทนกับความเจ็บปวดนี่ได้หรือไม่
ฮองเฮาส่งเสียงอ่าออกมา ด้วยความตื่นตกใจ “มีหลายวิธีการเลยหรือ?” หมอหลวงเคยพูดก่อนหน้านั้นว่า ขานี้ไม่มีทางรักษาได้ และก็ไม่สามารถรักษาให้กลับมาเดินได้ดั่งคนปกติทั่วไปด้วย
หลายปีมานี้ นางสิ้นหวังมาตลอด นึกไม่ถึงว่าคนที่นางเกลียดแสนเกลียดผู้นี้ กลับบอกว่ารักษาได้ นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ฮองเฮาซาบซึ้งจนพูดไม่ออก
หลีโม่เงียบไปสักพัก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองฮองเฮา “เหนียงเหนียง ยังมีอีกเรื่อง หม่อมฉันขอให้ฮองเฮาเหนียงอภัยโทษด้วยเพคะ”
ในขณะที่ฮองเฮากำลังเกิดความรู้สึกซาบซึ้งใจอยู่นั้น ก็พูดขึ้นว่า “เจ้าพูดมา เปินกงยกให้เจ้าไร้ความผิด”
หากเป็นยุคสมัยปัจจุบัน หลีโม่จะพูดตรงๆไปแล้ว แต่ยุคสมัยศักดินานี้ ค่อนข้างหวาดหวั่นนัก ดังนั้น นางจึงเงียบไปสักพัก เมื่อเห็นสายตาของฮองเฮาได้เปล่งประกายความร้อนใจออกมา จึงเอ๋ยปากขึ้นอย่างช้าๆว่า “อาการบาดเจ็บของเตี้ยนเซี่ยอยู่ใกล้กับส่วนต้นขา หลังจากที่ดูจากสถานการณ์ของบาดแผลแล้ว น่าจะเกิดการกระแทก อาจจะทำให้เส้นประสาทเลือดบางเส้นเกิดอาการฝ่อลงได้ หากไม่รีบทำการรักษาให้ทันเวลา ก็อาจจะทำให้ไม่สามารถ......มีวถีชีวิตเหมือนมนุษย์ได้อีก”
สีหน้าของฮองเฮาเปลี่ยนไปในทันที “บังอาจ!”
ใบหน้าขาวซีดของฮองเฮาจ้องเขม็งไปทางหลีโม่ นี่คือความเจ็บปวดตลอดชีวิตของนาง คนที่รู้เรื่องนี้มีไม่มากนัก และก็เป็นรับสั่งของกษัตริย์ที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ด้วย ไม่ต้องพูดถึง เมื่อนึกเชื่อมโยงกัน ล้วนแล้วแต่ทำให้ฮองเฮาโกรธและเจ็บปวด
นางพูดด้วยเสียงเคร่งขรึมและเฉียบขาดว่า “เสี้ยหลีโม่ อย่าคิดว่าเจ้ารักษาอ๋องเหลียงได้ แล้วจะสามารถใส่ร้ายป้ายสีพูดจามั่วซั่วต่ออ๋องเหลียงได้อย่างไม่เกรงกลัวผิดบาปนะ หากคำพูดนี้เล็ดลอดออกไปแม้แต่นิดเดียว เปินกงจะเอาหัวเจ้า”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พิษรักองค์ชายโฉมงาม
จบแบล้วววววว...
900 ตอนแล้ว ชีวิตของหลีโม่แทบหาความสุขไม่เจอเลย แถมลูกก็ถูกคนอื่นเอาไปทิ้งอีก สงสารจับใจ...
ตะว่าไปเรื่องนี้หมุยเฟยกับฮ่องเต้เลวร้ายแบบกินกันไม่ลงนะ ทำร้ายทุกคนที่ดีกับตัวเอง แล้วแางว่าจำเป็นๆ กลับเป็นพวกอี๋เฟยซะอีกที่แย่งแยกพวกำองชัดเจนไปเลย หมุยเฟยนี่นับว่าเป็นคนที่ได้ดีจากการเนรคุณผู้คนรอบข้างโดยแท้...
ฮ่องเต้กับลู่กงกงนี่ ตอนตายคงมีกันแค่ 2 คนละนะ...
อี๋เฟยนี่คือนางฉลาดสุดละในบรรดาเมียของเต้...
ท่านซือถูเย่นใจเย็นๆจากสุราก่อนเจ้าค่ะ สนใจยัยน้องด่วนเด่วจะโดนมิใช่น้อย55555...
โธ่ๆท่านซือถูเย่น เค้าลางกลัวว่าที่ภรรยาในอนาคตมาแต่ไกล รีบซ่อนสุราเลยนะ แต่ไม่น่าจะทัน หลอกใครก็หลอกได้แต่ไม่ใช่กับแม่นางหลีโม่555555...