พิษรักองค์ชายโฉมงาม นิยาย บท 433

ตอนที่ 433 เกิดเรื่อง

หลีโม่รู้สึกแปลกใจอยู่เล็กน้อย ได้ยินว่าองค์ชายสามเป็นคนรู้ความ เหตุใดถึงได้ถูกอาจารย์ลงโทษเล่า?

ภายใต้การถามอย่างละเอียด หมุยเฟยถึงได้บอกเหตุผลไปว่าองค์ชายสามมักจะมีความเห็นที่ไม่ตรงกันกับอาจารย์ อาจารย์จึงโกรธมากแล้วลงโทษเขาให้อยู่ในห้องเรียน

หลีโม่พูดด้วยรอยยิ้มว่า “มีความคิดเห็นที่ต่างกันนั้นเป็นเรื่องดี ไม่ต้องกังวลไปนะเพคะ”

หลังจากที่พี่สะใภ้น้องสะใภ้พูดคุยกันในเรื่องชีวิตประจำวันอย่างออกรสออกชาติ หมุยเฟยกดเสียงต่ำพูดว่า “หลีโม่ เจ้าต้องระวังอี๋เฟยเอาไว้นะ นางไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่”

หลีโม่รู้ว่าที่นางพูดมาเช่นนี้จะไม่มีสาเหตุ จะต้องสังเกตเห็นอะไรบางอย่างในระยะเวลาที่ผ่านมา

“หม่อมฉันรู้เพคะ” หลีโม่กล่าว

หมุยเฟยพยักหน้า “ข้ารู้ว่าเมื่อก่อนตัวข้าเองก็เคยทำเรื่องไม่ดีกับเจ้า ข้ารู้สึกละอายใจยิ่งนัก หากไม่ใช่ว่าครั้งนี้ท่านอ๋องซื่อเจิ้งเลื่อนตำแหน่งให้ข้าต่อหน้าของฮองไทเฮา ข้าจะต้องถูกอี๋เฟยควบคุมจนไม่มีทางดิ้นหลุดแน่นอน แม้แต่องค์ชายสามก็ต้องถูกกดดัน คำพูดอันดีงามข้าเองก็ไม่อยากพูด แต่ต่อไปพระชายาจะต้องมีที่ให้ข้าอยู่ แม้ว่าจะเป็นคำสั่งก็ตาม ”

หลีโม่ชำเลืองมองนางพร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มว่า “หมุยเฟยไม่จำเป็นต้องพูดวาจาร้ายแรงเช่นนี้ก็ได้เพคะ เรื่องที่ผ่านไปแล้ว หม่อมฉันไม่เอามาใส่ใจหรอกเพคะ”

การตั้งใจแสดงของหมุยเฟย หลีโม่ไม่เชื่อทั้งหมด หมุยเฟยเองก็เป็นคนที่มีเรื่องหนักใจคนหนึ่ง นางไม่มีคนที่เป็นที่พึ่งได้ จึงทำได้เพียงหาคนที่สามารถพึ่งพิงได้ ไม่สามารถพิพากษ์วิจารณ์อะไรหนักๆ ได้ เหมือนกับนางในเมื่อก่อน เพียงอยากจะใช้ชีวิตอยู่ในตำแหน่งที่มีเกียรติเท่านั้น ไม่ว่าจะต้องแย่งชิงกับอะไรบ้างก็ตาม

เมื่อกลับไปถึงตำหนักอ๋องซื่อเจิ้ง กลับเห็นว่าซูชิงกับเซียวโธ่ก็อยู่ที่นี่ ทั้งสามคนอยู่ในห้องโถง สีหน้าแต่ละคนล้วนเคร่งขรึม

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” เมื่อหลีโม่เดินเข้าไปแล้วพบว่าบรรยากาศไม่ปกติจึงถามขึ้น

ซูชิงเงยหน้าขึ้นมามองหลีโม่ “ด้านนอกมีคนลือกันหนาหู ว่าฮ่องเต้ป่วยเป็นโรคแผลพุพอง”

หลีโม่มองไปทางซือถูเย้น ซือถูเย้นเองก็มองมาที่นาง อารมณ์ของสีหน้าล้วนซับซ้อนยิ่ง

หลีโม่ใจกระตุกวูบ “ท่านคิดว่าข้าเป็นคนพูดหรือเพคะ?”

“ก่อนที่เจ้าจะเข้าวัง ข่าวนี้ก็ไม่เคยรั่วไหลออกไป แม้แต่ซูชิงเซียวโธ่ก็ไม่รู้” ซือถูเย้นกล่าวด้วยใบหน้าไร้อารมณ์

เซียวโธ่ร้องอ๋าออกมาคำหนึ่ง พูดอย่างตกใจว่า “พูดแบบนี้ เป็นเรื่องจริงงั้นหรือ? ฝ่าบาทเป็นโรคแผลพุพองจริงๆ งั้นหรือ?”

ซูชิงเหลือบมองเขาด้วยสายตาเย็นชา “เมื่อครู่ที่เราคุยกันมาตั้งครึ่งชั่วยาม เจ้าไม่เชื่อเลยงั้นหรือ?”

เซียวโธ่พูดอ้ำๆ อึ้งๆ ว่า “ไม่ใช่อย่างนั้น แต่หลังจากข้าแต่งงาน ก็มาหาพวกเจ้าน้อยครั้งมาก เมื่อครู่ข้าก็นึกว่าพวกเจ้ากำลังรวมหัวล้อข้าเล่น ข้าก็เลยแกล้งทำเป็นตกหลุมพรางของพวกเจ้าไงล่ะ”

ซูชิงกล่าวอย่างอารมณ์ไม่ดีนัก “หากล้อเจ้าเล่นก็มีทางเอาอาการป่วยของฮ่องเต้มาล้อเจ้าเล่นหรอกนะ ตัวเองโง่แล้วก็อย่าพาคนอื่นโง่ไปด้วย”

หลีโม่ไม่สนใจว่าทั้งสองจะเล่นมุกตลกอะไรกัน ได้แต่จ้องซือถูเย้น “”ท่านคิดว่าข้าเป็นคนพูด ใช่หรือไม่?

ซือถูเย้นไม่พูดไม่จา สีหน้ายังคงเคร่งขรึมมาก

“ท่านอ๋องไม่ได้คิดเช่นนั้น” ซือชิงรีบพูดขึ้นมาเพื่อให้สถานการณ์มันดีขึ้น “ตอนนี้พวกเราก็กำลังหารือกันอยู่ไม่ใช่หรือ?”

ซือถูเย้นหลับค่อยๆ ปริปากพูด “ไม่ใช่ ข้าคิดเช่นนั้น เป็นเจ้าที่พูดออกมา”

หลีโม่แสยะยิ้ม “เหตุใดข้าต้องทำเช่นนั้นด้วย?”

ซือถูเย้นเองก็ยแสยะยิ้มเช่นกัน “เพราะว่าเจ้าคิดว่าโรคนี้มันไม่สำคัญ เจ้าสามารถรักษาได้ เจ้าอยากได้ความดีความชอบ คิดอยากสร้างอำนาจและชื่อเสียง”

“ซือถูเย้น!” หลีโม่รู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก “ท่านเห็นข้าเป็นเช่นนั้นหรือ?”

“เจ้ากล้าพูดว่าไม่ใช่หรือ? กุ้ยไท่เฟยเคยมาหาเจ้าเป็นการส่วนตัวใช่หรือไม่? พวกเจ้าตกลงอะไรกันบ้างล่ะ?” ซือถูเย้นยังคงพูดคำพูดเย็นชาอย่างต่อเนื่อง

สายตาของหลีโม่ไม่พอใจเล็กน้อย “นางมาหาข้า ข้าก็บอกท่านไปตั้งแต่ครั้งแรกที่นางมา ท่านไม่เชื่อข้า ข้าเองก็จนปัญญา”

ซือถูเย้นมีสีหน้าเคร่งขรึม “ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าเองก็อย่าโทษข้าที่ไร้ความปรานี ทหาร เอาตัวพระชาไปขังไว้ในคุกของตำหนักซือถูเย้น”

“เจ้าจะขังข้า? ข้ายังต้องไปฝังเข็มที่ตำหนักอ๋อง ซือถูเย้น เจ้าบ้าไปแล้วหรือ?” หลีโม่โมโหยิ่งนัก ระหว่างพวกเขา คิดไม่ถึงว่าจะเกิดวิกฤตจ่อความเชื่อใจเช่นนี้ได้

ให้สมองนางมาเป็นพันชิ้นก็ไม่มีทางคิดถึงเลยจริงๆ

“เอาตัวไป!” ซือถูเย้นพูดอย่างจริงจัง

“ท่านอ๋อง อย่าทะเลาะกันเลยไม่มีทางเป็นหลีโม่หรอก” ซูชิงเอ่ยห้ามปราม

จิ่นเฉิงกลับก้าวเข้ามาก่อนแล้ว โค้งตัวให้หลีโม่ “พระชายาเชิญขอรับ!”

หลีโม่มองไปที่ซือถูเย้นก่อนจะส่ายหน้า แล้วพูดอย่างผิดหวังว่า “หวังว่าท่านจะแค่เลอะเลือนไปชั่วขณะ หากไม่เช่นนั้น ท่านก็ทำให้ข้ารู้สึกผิดหวังมากจริงๆ”

หลีโม่กล่าวจบ ก็หมุนตัวออกไป

เซียวโธ่พูดอย่างตะลึงงันว่า “ไม่มีทางเป็นหลีโม่กระมัง?”

ซือถูเย้นเก็บไฟแห่งโทสะที่อยู่ในดวงตากลับไป ค่อยๆ ปกคลุมไปด้วยความเย็นยะเยือกทีละชั้น “แน่นอนว่าไม่ใช่นาง”

“เช่นนั้นแล้วท่านจะยังโมโหใส่นางทำไมเล่า?” ซูชิงไม่เข้าใจ

ซือถูเย้นเหลือบไปมองเขา “ทำไมอาการป่วยของฮ่องเต้ที่ป่วยมาตั้งนานแล้วแต่ไม่เคยรั่วไหลออกไป แต่พอหลังจากนางเข้าไปก็เกิดรั่วไหลออกมา? อีกทั้งข่าวลือก็ยังมาจากตลาด พุ่งเป้ามาที่นางโดยตรง บอกว่านางเป็นคนเผยแพร่ออกไป

“มีคนตั้งใจใส่ร้ายนาง”

“สาเหตุที่ใส่ร้ายนางเล่า?” ซือถูเย้นถามขึ้นอีก

“เรื่องนี้…” ซูชิงคิดครู่หนึ่ง “ข้างนอกล้วนบอกว่านางเป็นคนปล่อยข่าวออกไป ท่านอ๋องจะต้องโกรธมาก สามีภรรยาจะต้องผิดใจกัน”

“ผิดใจกันคือหนึ่งในเป้าหมาย” ซือถูเย้นกล่าวเสียงทุ้มต่ำ “อีกทั้งแผลพุพองเป็นการสาปแช่งที่ร้ายแรง ฮ่องเต้แห่งแคว้นโจวป่วยเป็นโรคแผลพุพอง ประชาชนล้วนหวาดผวา เหล่าข้าราชบริพารต้องขอร้องต่อหน้าฮ่องเต้ เพื่อพิสูจน์เรื่อง อย่างนี้ สถานการณ์ของข้ากับฮองไทเฮาจะต้องวุ่นวายขึ้นมา เมื่ออับจนหนทางต้องเสี่ยงให้หลีโม่เข้าไปรักษาฮ่องเต้ในวัง แต่ตั้งแต่หัวจรดคิ้วเป็นเพียงสถานการณ์หนึ่ง ดังนั้น เมื่อการรักษาราบรื่น หากเวลาในการรักษามีปัญหา หลีโม่จะมีโทษถึงตาย อาการป่วยของฮ่องเต้จะต้องประกาศให้ประชาชนรู้อย่างเป็นทางการ เมื่อถึงเวลา แม้ฮ่องเต้จะไม่สวรรคต ก็ต้องถูกถอดออกจากตำแหน่ง!”

“แต่ฮองไทเฮากับฮ่องเต้จะต้องสืบสวนเรื่องนี้ ตอนนี้ด้านนอกต่างพูดกันว่าพระชายาอ๋องซื่อเจิ้งเป็นคนปล่อยข่าว เกรงว่าฮองไทเฮาจะไม่เชื่อหลีโม่ ฮ่องเต้เองก็จะไม่เชื่อ” หลีโม่พูดอย่างกังวลใจ

“ใช่ พวกเขาไม่มีทางเชื่อ แต่ก่อนอื่นต้องให้คงที่ก่อนสองวัน แล้วค่อยวางแผนอีกครั้ง” สีหน้าของซือถูเย้นกลับมาสงบเช่นเดิม

“ท่านอ๋องมีแผนแล้วหรือ?” เซียวโธ่เอ่ยถาม

“ยัง!” ซือถูเย้นพูดสั้นๆ แต่ได้ใจความ

“......”

“แต่ท่านยังใจเย็นขนาดนี้หรือ? ก่อนที่จะเหล่าขุนนางจะบังคับเข้าวัง ฮองไทเฮาจะต้องเอาตัวหลีโม่ไปลงโทษแน่นอน” ซูชิงพูดอย่างกังวล

“ดังนั้น ข้าเลยสั่งขังไงล่ะ”

“เจ้าก็อย่าไร้เดียงสาขนาดนั้น...” ซูชิงตะลึงงัน มองไปที่เขา “ท่านอ๋องหมายความว่าท่านแจ้งไทฮองเฮาว่าท่านอยากจะยืดเวลาตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยตัวเอง?”

“นี่เป็นวิธีชั่วคราว”

เอาละ ความจริงแล้วก็ไม่มีวิธีการที่ดีแล้ว แต่ว่าพระชายาเหมือนจะโกรธมาก

เซียวโธ่พูดเตือนว่า “ท่านอยากจะคุยกับพระชายาหรือไม่?”

“ไม่จำเป็น นางจะเข้าใจเอง” ซือถูเย้นรู้ความเฉลียวฉลาดของนางดี “ตอนนี้เพียงแค่โกรธและสับสนเท่านั้น”

“ใครเป็นคนพูดออกมากันแน่? แม้แต่ข้าก็ไม่รู้เรื่องนี้ คนนอกจะรู้ได้อย่างไร?” เซียวโธ่พูดอย่างโมโห

ซือถูเย้นไม่พูดไม่จา แต่ก็คิดไม่ถึงจริงๆ คนในวังหลวงที่เป็นศัตรูกับเขา ก็มีอยู่สองคน หากไม่ใช่ไถ้ฝู้ก็เป็นน้องชายที่แสนดีกับมารดาของเขา

แต่ว่าตำหนักซีเวยห้ามให้ผู้ใดเข้าไปใกล้ ช่องลมก็มิดชิดจนลมผ่านไม่ได้ ใครกันที่งัดปากคนของตำหนักซีเวยพูด?

“ซูชิง เซียวโธ่ พวกเจ้าทั้งสองคนไปสืบดูภูมิหลังของทุกคนที่รับใช้อยู่ในตำหนักซีเวย หรือไม่ก็ดูว่าช่วงนี้มีใครออกจากตำหนักบ้าง” ซือถูเย้นสั่งการ

“ท่านสงสัยว่าคนของตำหนักซีเวยเป็นคนปล่อยข่าวหรือ?”

“ดังนั้น...” ซือถูเย้นลากเสียงสูง จู่ๆพูดเสียงดุดันขึ้นมา “พวกเจ้ายังไม่รีบไปจัดการอีกหรือ?”

ทันใดนั้นทั้งสองคนก็รีบวิ่งออกไปทันที จริงๆ เลย อยากจะแอบขี้เกียจหน่อยก็ไม่ได้ วันดีๆ แบบนี้ยังผ่านไปได้ไม่กี่วันเอง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พิษรักองค์ชายโฉมงาม