บทที่ 560 งานเลี้ยงระดับประเทศที่เก้อเขิน
ทุกคนเห็นชอบว่าท่านนี้คือองค์หญิง ถึงค่อยคารวะตามๆกัน องค์หญิงอานก็คารวะกลับทีละคน อยากที่จะเห็นก็คือนางไม่ได้วางมาดแม้แต่น้อยเลย
องค์หญิงอานไม่ได้วางมาดอะไรเลยจริงๆ แม้กระทั่งทำตัวให้เหมือนกับหญิงสาวบุคคลธรรมดา
“องค์หญิงมองข้าออกตั้งแต่แรกเลยหรือ?” หลังจากนั่งลงแล้ว ซือถูเย้นถึงค่อยถาม
“อ๋องเย่ เป็นน้องชายของท่านใช่ไหม ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?” องค์หญิงอานถาม
“......อ๋องเย่ เสียชีวิแล้ว” หลิ่วหลิ่วตอบแทนซือถูเย้น สีหน้าโศกเศร้า
เซียวโธ่มองไปที่องค์หญิงอานและมองไปที่หลิ่วหลิ่ว กระซิปใกล้ๆหูนางว่า “เจ้าโกหกได้เนียนมาก”
หลิ่วหลิ่วร่างกายแข็งทื่อไปทั้งตัว ใบหน้าก็แข็งทื่อ ทำเหมือนไม่ได้ยิน
องค์หญิงอานยิ้มอย่างเยือกเย็น “ตายแล้วเหรอ? หากว่าตายจริง งั้นตายไปก็ดี”
ตอนนั้นอ๋องเย่ให้ทุกคนบอกกับองค์หญิงอานว่า หากองค์หญิงอานหยางถามถึงเขา ก็ให้ตอบว่าเขาตายไปแล้ว ตอนนั้นทุกคนคิดว่าเป็นบุญคุณความแค้นด้านความรัก ในตอนนี้คิดว่า องค์หญิงอานไม่เหมือนว่าจะชอบเขานี่
หลีโม่ถามตามตรง “ไม่ทราบว่าอ๋องเย่และองค์หญิงอานมีความบาดหมางอะไรกัน? องค์หญิงอานถึงได้เกลียดเข้ากระดูกแบบนี้”
องค์หญิงอานกัดฟันตอบ “คนใช้คนนี้ ได้หลอกเอาเงินของข้าไปหนึ่งร้อยตำลึง แต่ไหนแต่ไรไม่มีใครเคยมากอบโกยเงินจากมือข้าไปได้ เจ้าว่ามันไม่น่าโกรธหรือ?”
“หา?”
ทุกคนต่างคนต่างมองหน้ากัน นี่มันเรื่องอะไรกันนี่? ก็แค่เรื่องเงินหนึ่งร้อยตำลึง? ทำไมต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ไปได้?
ซูชิงรีบหยิบตั๋วเงินหนึ่งร้อยตำลึงออกมา “องค์หญิง นี่เป็นตั๋วเงินของติ่งเฟิง ท่านสามารถไปแลกได้ที่ติ่งเฟิงในแคว้นเป่ยม่อ”
“แคว้นเป่ยม่อยังไม่มีติ่งเฟิง” เซียวโธ่ตบมือของเขาเบาๆ
“ไม่จำเป็น เงินหนึ่งร้อยตำลึงนั้น เขาได้คืนข้ามานานแล้ว มาในวันนี้ไม่ใช่แค่เงินหนึ่งร้อยตำลึงแล้ว แต่จะให้ผู้คนรู้ไว้ว่าเขาได้หลอกเงินจากมือข้าไป จะให้ข้าเอาหน้าไปไว้ไหน?”
ใครๆก็รู้ เงินของนางองค์หญิงอานมีเข้าอย่างเดียวไม่มีออก ความพยายามหลายปีมานี้ ได้ถูกอ๋องเย่ทำลายไปแล้ว
ทุกคนคิดถึงคำพูดของอ๋องเย่ที่พูดถึงองค์หญิงอาน ทุกคนสันนิษฐานว่าหนี้รัก เขายังทำเป็นอ้ำอึ้งไม่ยอมรับ ใครก็คิดไม่ถึง หน้าเขาใหญ่มาก เป็นหนี้รักที่ไหนกัน? เป็นหนี้สินต่างหาก
นี่แค่พูดกันเล่นๆ องค์หญิงอานแลดูโกรธมาก แต่เมื่อพูดถึงเรื่องสำคัญ ก็เป็นเหมือนดั่งที่อ๋องเย่พูดไว้จริงๆ นางให้ความช่วยเหลืออย่างไม่ลังเล
พวกเขามาเพื่อรักษาโรคระบาด แต่ประชาชนเป่ยม่อยังไม่รู้เลยว่าพวกเขามาถึงแล้ว ฮ่องเต้เพิกเฉยพวกเขาเพราะมีแผนการอย่างอื่น ดังนั้นหลีโม่พูดกับองค์หญิงอานว่า อยากให้นางช่วยสร้างข่าวลือเพื่อกดดัน อย่างแรก ให้ประชาชนรู้ว่าพวกเขามาถึงแล้ว อย่างที่สอง ให้ฮ่องเต้มาเชิญพวกเขาไปยังเขตโรคระบาดด้วยตัวเอง
เข้าไปยังเขตโรคระบาด ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย ราชสำนักได้ส่งคนไปยังเขตโรคระบาดแล้ว ให้คนพวกนี้ฟังคำสั่งของนาง และให้ความร่วมมือกับนางเพื่อวิจัยยารักษา นางจึงจะต้องได้รับราชโองการของเป่ยม่อ
องค์หญิงอานฟังคำพูดของหลีโม่ แล้วก็บอกตามตรงว่า “เรื่องเขตโรคระบาด ข้าเคยไปสำรวจดูแล้วเมืองอาวุธ หลัวเซี่ยน เมืองอานทั้งสามที่นี้ เป็นอำเภอเมืองที่ประสบโรคระบาดรุนแรงที่สุด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าที่อื่นไม่มี ไม่เพียงแค่นี้ นอกจากโรคระบาดแล้ว ตอนนี้หนูก็ระบาดหนัก กัดกินศพแล้วก็ไปกัดกินคน ถึงข้าจะไม่มีความรู้ทางการแพทย์ แต่ก็รู้ว่าแบบนี้จะเป็นการแพร่เชื้อโรคระบาด สรุปก็คือ โรคระบาดมีหนทางในการแพร่ระบาดเพิ่มขึ้นอีกช่องทางหนึ่ง ไม่เป็นผลดีต่อประชาชนของต้าโจวอย่างมาก”
“ฮ่องเต้มีแผนการอย่างไร?” ซือถูเย้นถาม
องค์หญิงอานหัวเราะเย้ย “ในสายตาของเขาชีวิตของประชาชน เป็นเพียงหินรองเท้าช่วยให้เขาได้เดินไปสู่บันไดขั้นสูงเท่านั้น”
“ช่างโหดเหี้ยมยิ่งนัก” เซียวโธ่แค่คิดก็รู้แล้ว ฮ่องเต้เป่ยม่อคิดยังไงกับคนป่วยที่ติดโรคระบาดพวกนี้
หากอยากที่จะกำจัดโรคระบาดนี้ วิธีที่ดีที่สุดก็คือ นำคนที่สงสัยว่าติดโรคระบาดหรือคนที่ติดโรคระบาดแล้ว ไปเผาไฟทั้งหมด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พิษรักองค์ชายโฉมงาม
จบแบล้วววววว...
900 ตอนแล้ว ชีวิตของหลีโม่แทบหาความสุขไม่เจอเลย แถมลูกก็ถูกคนอื่นเอาไปทิ้งอีก สงสารจับใจ...
ตะว่าไปเรื่องนี้หมุยเฟยกับฮ่องเต้เลวร้ายแบบกินกันไม่ลงนะ ทำร้ายทุกคนที่ดีกับตัวเอง แล้วแางว่าจำเป็นๆ กลับเป็นพวกอี๋เฟยซะอีกที่แย่งแยกพวกำองชัดเจนไปเลย หมุยเฟยนี่นับว่าเป็นคนที่ได้ดีจากการเนรคุณผู้คนรอบข้างโดยแท้...
ฮ่องเต้กับลู่กงกงนี่ ตอนตายคงมีกันแค่ 2 คนละนะ...
อี๋เฟยนี่คือนางฉลาดสุดละในบรรดาเมียของเต้...
ท่านซือถูเย่นใจเย็นๆจากสุราก่อนเจ้าค่ะ สนใจยัยน้องด่วนเด่วจะโดนมิใช่น้อย55555...
โธ่ๆท่านซือถูเย่น เค้าลางกลัวว่าที่ภรรยาในอนาคตมาแต่ไกล รีบซ่อนสุราเลยนะ แต่ไม่น่าจะทัน หลอกใครก็หลอกได้แต่ไม่ใช่กับแม่นางหลีโม่555555...