บทที่ 600 พูดเกลี้ยกล่อมฉินโจว
ฉินโจวพูดอย่างเยือกเย็น “เจ้าเก็บความคิดแบบไหนไว้ ตัวเจ้าเองรู้ดี ข้าเองก็ไม่อยากทำลายมัน เรื่องบางเรื่อง ทุกคนเข้าใจก็พอ มีเพียงแค่ประโยคเดียว ที่ข้าต้องเก็บไว้ในใจ มีข้าอยู่ การกบฏใดๆของเจ้าจะไม่มีวันสำเร็จ และยังมีอีก หากวันนี้เจ้ามาหาข้า เพียงเพราะว่าจะมาต่อปากต่อคำ อย่างนั้นก็ไม่จำเป็น”
หลีโม่มองไปที่นาง พยักหน้าเบาๆ “ต่อปากต่อคำ? ได้ ก็คิดเสียว่าข้าต่อปากต่อคำ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็อยากจะพูดอีกสักหนึ่งเรื่องให้เจ้าฟัง ฉาวจี๋ได้พาผู้ประสพภัยทั้งหมดไปอยู่ที่เมืองอาน แต่ว่า ไม่มีเสบียงอาหาร ไม่มีหมอ ไม่มีเวชภัณฑ์ เมืองอานเหลือเพียงซากปรักหักพังเท่านั้น ความเป็นจริงแล้วไม่สามารถรองรับคนได้มากขนาดนี้ คนพวกนี้หลังจากที่เข้าไป ก็จะออกมาไม่ได้อีกแล้ว ในโลกใบนี้ มันเลวร้ายยิ่งกว่าบาปกรรม คือความเงียบ คือการทำเป็นมองไม่เห็น วีระบุรุษในใจของราษฎรแคว้นเป่ยม่อของเจ้า เชื่อถือเพียงแค่ฮ่องเต้ของพวกเจ้าเท่านั้น เชื่อว่าเขาจะรามือที่จะไปโจมตีต้าโจว และปกป้องราษฎรในเขตภัยพิบัติ”
ในใจของฉินโจว ได้เกิดคลื่นลูกใหญ่สร้างความตะลึงแก่ท้องฟ้า แต่ว่าสีหน้าของเขายังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
คำพูดที่เสี้ยหลีโม่พูดทั้งหมด ที่จริงแล้วในใจนางมีช่วงเวลาขณะหนึ่งที่แวบเข้ามา แต่ว่านางไม่กล้าที่จะคิดลึกซึ่งไปมากกว่านี้ เพราะว่า จริงแล้วนี่เป็นเรื่องราวต่างๆที่ฟังมาได้สร้างความสะพรึงกลัวให้กับผู้คน
แต่ว่า คนที่สังเกตอยู่ทุกอย่าง การคาดเดานี้กลับเป็นสิ่งที่ใกล้ชิดความจริงมากที่สุด
เพราะว่า ในเวลานี้ ได้เพิ่มภาษี ต้องให้ราษฎรเก็บเกี่ยวผลผลิตล่วงก่อน ขุดลอกราษฎรหนึ่งนิ้วสิ่งที่ขุดลอกคือน้ำมัน เสบียงพวกนี้ เงินพวกนี้ สุดท้ายแล้วเอาไปใช้จ่ายส่วนไหน?
มาวันนี้เสบียงอาหารที่สั่งสมมา ได้ถูกส่งไปยังเขตชายแดน แล้ว ผู้ประสพภัยที่หลายที่อยู่ในเมืองอาน พวกเขากินอะไร?
ในที่สุดสีหน้าของนางก็ได้เปลี่ยน สุดท้าย ตบโต๊ะ แล้วตะโกนเรียก “จิ่ง”
เงาดำๆผลักประตูเข้ามาอย่างรวดเร็ว มือประสานก้มคาราวะ “ท่านแม่ทัพ”
“รีบไปตรวจสอบดูว่าฝ่ายหู้ปู้ได้จัดส่งเสบียงอาหารและเวชภัณฑ์ไปที่เมืองอานหรือไม่ ตรวจเช็กดูสิว่าฮ่องเต้จัดส่งหมอท่านไหนบ้างไปที่เมืองอาน” ฉินโจวออกคำสั่ง
“ครับ” จิ่งรับคำสั่ง แล้วก็ถอนออกไป
ฉินโจวจ้องไปที่หลีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าจักเชื่อใจเจ้าสักครั้ง สั่งให้คนไปตรวจสอบ หากพบว่าเจ้าโกหกข้า ถึงแม้ว่าเจ้าจะมี......” นางกวาดสายตาผ่านสายเชือกเตาปาที่อยู่บนแขนของหลีโม่ “เชือกวิเศษอยู่ในมือ ก็ออกประตูใหญ่จวนแม่ทัพไม่ได้หรอก”
หลีโม่พูด “เจ้าไปตรวจสอบเถอะ ทางที่ดีตรวจสอบเรื่องทุกอย่างให้ชัดเจน ข้าเกรงว่าเจ้าจะไม่ตรวจสอบเท่านั้น แค่ ข้าต้องการถามเจ้าสักคำ ถ้าหากเจ้าตรวจสอบจนแจ่มแจ้งแล้ว สิ่งที่ข้าพูดเป็นเรื่องจริงทั้งหมด เจ้าจะทำอย่างไร?”
ฉินโจวเงียบไปครู่หนึ่ง คิ้วขมวด ทำอย่างไร?
นางไม่รู้ แต่ว่า ถ้าหากเป็นจริงอย่างที่เสี้ยหลีโม่พูด นางก็จะโกรธมาก
แต่เธอจะทำอะไรได้? โลกใบนี้ ทั้งผืนแผ่นดินและเขตปกครองเป็นของกษัตริย์ ราษฎรที่อาศัยในผืนแผ่นดินนี้ก็เป็นราษฎรของกษัตริย์ด้วยเช่นกัน
เธอเป็นเพียงแค่ขุนนาง
“ฉินโจว ตั้งแต่สมัยโบราณมาแล้วความจงรักภักดีและความยุติธรรมอยากที่จะมีพร้อมสมบูรณ์ครบทั้งสอง จะจงรักภักดีตอฮ่องเต้ หรือไม่ละอายใจต่อราษฎร ข้าตัดสินใจแทนเจ้าไม่ได้ แต่ว่า เป็นมนุษย์สิ่งสำคัญที่สุดต้องรู้คุณค่าของความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ตำแหน่งแม่ทัพของเจ้า ฮ่องเต้เป็นผู้ยกย่องส่งเสริมขึ้นมา ส่วนชื่อเสียงเรียงนามวีระบุรุษของเจ้า คือราษฎรเชื่อถือเจ้า มุงกุฎบนหัวของเจ้า เจ้ารู้บุญคุณฮ่องเต้ ก็จะเนรคุณราษฎร หากเจ้ารู้บุญคุณราษฎร เจ้าก็ขาดการจงรักษ์ภักดีต่อฮ่องเต้ เจ้าจะเลือกอย่างไร ข้าจะไม่พูดมาก และก็ไม่มีสิทธ์พูดมากด้วย แต่ว่า ข้าหวังว่าเจ้าคงจะไม่ตัดสินใจทำอะไรที่มันทำให้เจ้าเสียใจไปตลอดชีวิต”
ฉินโจวจ้องมองเธอ ในใจมีความสงสัยกระพริบเข้ามา และความตะลึงก็กระพริบเข้ามาด้วย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พิษรักองค์ชายโฉมงาม
จบแบล้วววววว...
900 ตอนแล้ว ชีวิตของหลีโม่แทบหาความสุขไม่เจอเลย แถมลูกก็ถูกคนอื่นเอาไปทิ้งอีก สงสารจับใจ...
ตะว่าไปเรื่องนี้หมุยเฟยกับฮ่องเต้เลวร้ายแบบกินกันไม่ลงนะ ทำร้ายทุกคนที่ดีกับตัวเอง แล้วแางว่าจำเป็นๆ กลับเป็นพวกอี๋เฟยซะอีกที่แย่งแยกพวกำองชัดเจนไปเลย หมุยเฟยนี่นับว่าเป็นคนที่ได้ดีจากการเนรคุณผู้คนรอบข้างโดยแท้...
ฮ่องเต้กับลู่กงกงนี่ ตอนตายคงมีกันแค่ 2 คนละนะ...
อี๋เฟยนี่คือนางฉลาดสุดละในบรรดาเมียของเต้...
ท่านซือถูเย่นใจเย็นๆจากสุราก่อนเจ้าค่ะ สนใจยัยน้องด่วนเด่วจะโดนมิใช่น้อย55555...
โธ่ๆท่านซือถูเย่น เค้าลางกลัวว่าที่ภรรยาในอนาคตมาแต่ไกล รีบซ่อนสุราเลยนะ แต่ไม่น่าจะทัน หลอกใครก็หลอกได้แต่ไม่ใช่กับแม่นางหลีโม่555555...