พิษรักองค์ชายโฉมงาม นิยาย บท 641

บทที่ 641 กรณีขโมยสิ่งของ

เมื่อคนได้ถูกลากออกไปแล้ว แต่อ๋องหลี่ชินก็ยังไม่คิดจะปล่อยตัวหลีโม่ “ครั้งนี้ฮองไทเฮาได้ส่งคนมาจากตำหนักต่าง ๆ ตำหนักของข้าก็ไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้มาก่อน ที่สำคัญเลยก็คือจะต้องมีความเคร่งครัดในเรื่องกฎระเบียบ ถ้าหากว่าเจ้าไม่มีกฎระเบียบแล้วไซร้ ใครก็จะไม่ยอมให้กับเจ้าทั้งนั้น รู้แล้วหรือไม่?”

หลีโม่พยักหน้าหงึกหงัก “รู้แล้ว น้องรู้แล้ว” ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเมื่อได้เข้าวังหลวงและได้ถวายความเคารพแล้ว มีเจ้าเป็นประจักษ์พยาน เจ้าว่าอย่างไรก็ต้องเป็นไปตามนั้น

อ๋องหลี่ชินเป็นผู้นี้ให้ความสำคัญกับพิธีรีตองในการทำความเคารพ นับว่ามีชื่อเสียง เพียงแค่กลัวว่าในวังหลวงคนที่จะมาอบรมสั่งสอนกูกูนั้นจะไม่ได้พิถีพิถันเท่ากับเขา ถึงต่อให้เอาพูดกันต่อหน้าพระพักตร์ของฮองไทเฮาแล้ว ก็นับว่านางยังไม่เสียเปรียบ

“มามา ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” หลีโม่ถามหยางมามาขึ้น

เนื่องจากอ๋องหลี่ชินยังอยู่ โดยท่านอ๋องผู้นี้มักจะรับไม่ได้หากคนมาทำอะไรซี้ ๆ ซั้ว ๆ ดังนั้นสีหน้าของนางจึงฉายแววแห่งความเจ็บปวด “ข้าน้อยกลับไปทายาเข้าสักหน่อยก็ไม่เป็นอะไรแล้วเพคะ ขอบพระทัยพระชายา”

“อืม เจ้ารีบไปเถอะ” หลีโม่พูดขึ้น

“ข้าน้อยขอลา” หยางมามาก้มศีรษะทำความเคารพแล้วออกไป

เมื่อหยางมามาได้ออกไปแล้ว หมันเอ๋อร์ถึงได้พูดด้วยเสียงที่คั่งแค้นใจว่า “พวกขี้ข้าอวดเบ่งทำใหญ่โตพวกนี้ ข้าชิงชังจนอยากจะสังหารเสียให้หมด”

อ๋องหลี่ชินจ้องมองไปที่นางด้วยความประหลาดใจ “ถ้าหากว่าพูดกันตามระเบียบแล้ว เจ้าจะสังหารคนพวกนี้ไปทำไมกัน?”

“คนผู้นั้นที่มายังตำหนักของเรา มีกฎระเบียบอะไรกันเสียที่ไหน?เอาเป็นว่าพูดเรื่องระเบียบกฎเกณฑ์ต่อหน้าท่านก็พอแล้ว”หมันเอ๋อร์พูดขึ้นด้วยอารมณ์ขุ่นมัว

หลีโม่พอจะฟังออกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล “ตำหนักของพวกท่าน มีคนมาใหม่?”

ที่ของนางนี่ก็ปาไปแปดคนแล้วนะ

“คนหนึ่ง”

หลีโม่พูดด้วยน้ำเสียงแปลกประหลาด “ฮองไทเฮาช่างใส่พระทัยกับข้าจริง ๆ”

“เมื่อครู่สามสี่คนนั้นก็ใช่หรอ?” หมันเอ๋อร์ตกตะลึงไปสักพัก “มิน่าล่ะถึงดูไม่ค่อยคุ้นหน้ายิ่งนัก”

“หรือไม่ใช่?”หลีโม่มองไปทางหมันเอ๋อร์ “พวกเจ้าเองก็ต้องเข้าวังไปถวายความเคารพอย่างนั้นรึ?”

“อื้ม ใช่แล้ว”หมันเอ๋อร์มีชาติกำเนิดเป็นองค์หญิง แต่ทว่านางดูถูกพวกเรื่องขนบธรรมเนียมมารยาทเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในทุกครั้งที่เข้าวัง ต่อหน้าพระพักตร์ของผู้ที่มาใหม่นั้นอย่าให้มันน่าเกลียดจนเกินไป

อ๋องหลี่ชินโบกมือไปมา “การเข้าวังถวายความเคารพนับว่าเป็นมารยาท เป็นการแสดงความกตัญญู การที่เป็นลูกสะใภ้ ก็ควรที่จะทำเยี่ยงนี้”

“เจ้าไม่เคยลิ้มรสเสียเปรียบมาก่อน ดังนั้นเวลาเจ้าพูดก็ไม่เคยปวดเอว วันนั้นแม้กระทั่งหมุยเฟยเองก็โดนตำหนิเข้าให้” หมันเอ๋อร์พูดขึ้น

“หมุยเฟยโดนตำหนิ?เกิดอะไรขึ้น?”หลีโม่ถามต่อ นางจำได้ว่าหมุยเฟยเป็นผู้รู้กาลเทศะ ถ้าจะว่าไปตามเหตุตามผลแล้วไม่น่าจะทำให้นางไม่พอใจได้

“เรื่องราวจริง ๆ มันเป็นอย่างไร ตัวข้าเองก็หารู้ไม่ ข้าได้ยินข้ารับใช้ที่อยู่กับหมุยเฟยพูดว่า หลังจากที่โดนตำหนิแล้วก็ถูกลงโทษให้คุกเข่าเป็นเวลาสองชั่วยาม”

หลีโม่พูดด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น “จริง ๆ แล้วนางทำอะไรกันแน่?”

หมันเอ๋อร์ยกมือขึ้น ที่แสดงให้เห็นว่าเรื่องนี้มันไม่ราบรื่น “ใครจะรู้?เสด็จแม่เสด็จไปนานแค่ไหนแล้ว?คิดไม่ถึงเลยว่าทำลายกฎระเบียบยกให้ไท่เฟยกลายเป็นฮองไทเฮามันก็ช่างน่าขันพอดูแล้ว ยังจะไปตบแต่งเอาหญิงแม่ค้าเข้ามาอีก มิหนำซ้ำยังไปลักภรรยาของน้องชาย ซุนฟางเอ้อร์ผู้นั้นก็ได้ถูกสถาปนาเป็นกุ้ยเฟย เจ้ารู้หรือไม่?”

“ข้ารู้ แต่เรื่องพวกนี้ พี่สามท่าน……?” หลีโม่คิดอยากจะถามเขา ท่านทนมองได้ไหม?

อ๋องหลี่ชินแสดงท่าทางโกรธเคืองออกมาอย่างเห็นได้ชัด “ข้าไปทำภารกิจ พอกลับมายังเมืองหลวงแล้ว เรื่องทั้งหมดนี้ก็ได้ถูกกำหนดไว้ในตอนสุดท้าย ข้าได้เข้าไปยังวังหลวงเพื่อเข้าเฝ้าฝ่าบาทเพื่อปรึกษาหารือ ฝ่าบาทรับสั่งว่าได้เสด็จไปไหว้ยังวัดสุสานบรรพบุรุษ แผนภูมิหยกประจำราชวงศ์ก็ได้เข้าไปด้วย ตราประทับหงส์ก็ถูกส่งออกไป แก้ไม่ได้ ถ้าจะแก้ ก็ต้องกำจัดทั้งฮองเฮาและไทเฮา ฝ่าบาทให้ข้าคิดหาเหตุผลที่จะกำจัดฮองเฮาและไทเฮา ข้าคิดหลายตลบ ก็เห็นว่าไม่ได้กระทำความผิดอย่างแท้จริง ไม่สามารถกำจัดได้”

วิธีจัดการเป็นลำดับขั้นเยี่ยงนี้ ฝ่าบาทจับเอาไว้มั่น……แล้วจริง ๆ

“พรุ่งนี้ก็ยี่สิบสี่แล้ว ตามหลักวันที่เลขหนึ่ง สี เจ็ดเข้าวงไปถวายความเคารพ วันพรุ่งเจ้าเองก็ต้องไป เวลายามเฉินหนึ่งเค่อไปรอที่ตำหนักหยันสี่” หมันเอ๋อร์บอกเตือนขึ้น

“ข้ารู้แล้ว” หลีโม่ประคองแก้วชาเอาไว้ ด้วยท่าทางที่ไม่รีบร้อน

“ที่ตำหนักของเจ้ามีคนมาแปดคน ดูท่านางปฏิบัติต่อเจ้าเป็นพิเศษ……การดูแลชนิดพิเศษ พรุ่งนี้เจ้าเองก็ต้องระวังหน่อย อย่าให้นางได้หาข้อบกพร่องอะไรออกมาได้”

หลีโม่พูดขึ้น “ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องหาข้อบกพร่องมาได้อยู่ดี ต่อให้ไม่มี นางก็ต้องหาเรื่องขึ้นมาพูดสักหน่อย เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะปรับตัวรับมือให้ได้กับทุกสถานการณ์”

“ยังมีอีกนะ เมื่อครู่ทาสรับใช้คนนั้น เจ้าตีนาง กลัวว่าถ้าเข้าวังไปแล้วจะไปรายงาน โชคดีที่ว่า พวกเรามาเห็นเองกับตาว่านางเป็นคนเหิมเกริม พอกลับไปจะได้ไปพูดช่วยเจ้าต่อหน้าพระพักตร์ของฮองไทเฮา ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว หากฮองไทเฮาปักใจเชื่อฝั่งนั้นไปแล้ว จะเป็นเจ้าที่จะต้องลำบาก”

หลีโม่ฟังดูว่าหมันเอ๋อร์เกรงกลัวนางเช่นนี้ ดูท่าแล้วฮองไทเฮาคนนี้จะมีพิษสงจริง ๆ

หลีโม่เอาของขวัญที่อ๋องฉีส่งมามอบให้กับอ๋องหลี่ชินสองสามีภรรยา อ๋องหลี่ชินไอกระแอมขึ้น กระซิบพูดเสียงต่ำ ๆ กับหลีโม่ว่า “เมื่อก่อน ได้ยินว่าเจ้ามียากำจัดเหา ช่วงสั่งให้ข้าสักสำรับเถอะ”

หลีโม่ปล่อยขำพรืดออกมา มองไปที่หมวกของเขา พอคิดไปคิดมาเพราะว่าหลังจากที่ได้โกนผมไปเรียบร้อยแล้วนั้น ผมก็ยังไม่ยาวออกมาเสียที พอถูกคนหัวเราะเข้าหน่อย “ไม่ใช่ว่าต้าจินมีเหาอีกหรอกนะ?”

“ก็ไม่ใช่หรือยังไง?” อ๋องหลี่ชินทำท่าฟึดฟัดอย่างรำคาญใจ

“ได้ ข้ากลับไปแล้วสั่งยาเสร็จเรียบร้อยจะสั่งให้คนเอามาให้ท่านที่ตำหนัก”

“ได้ เจ้าเอาตำรับยานี้ให้กับข้า ครั้งนี้กำจัดไปแล้ว กลับไปถ้าหากว่ายังมีอีกข้าจะให้คนไปหายา”

หลีโม่พยักหน้า มองไปทางหมันเอ๋อร์ ซึ่งหมันเอ๋อร์กำลังกลอกตามองบนอย่างแรง “เจ้าไม่ต้องมามองข้า ในใจของเขา ต้าจินยังไงก็สำคัญมากกว่าข้าอยู่เสมอ”

“มองเจ้า” อ๋องหลี่ชินพูดด้วยท่าทางจริงจัง “นี่เจ้ายังจะมาคิดเล็กคิดน้อยเอากับสัตว์ได้?”

หมันเอ๋อร์หัวเราะด้วยเสียงเย็น “คิดเล็กคิดน้อย?ข้ายังเทียบกับสัตว์ไม่ได้ จะไปคิดเล็กคิดน้อยอะไรกัน?”

หลีโม่หัวเราะไปด้วยพลางส่งให้ตัวตลกสองคนนี้กลับไปด้วย แล้วก็ให้คนปิดประตูลง หมุนตัว หัวเราะด้วยเสียงเย็น ๆ กำชับลงไปว่า “มานี่สิ เรียกทุกคนที่มาจากวัง ให้ไปเจอกันที่ห้องโถงใหญ่”

เมื่อครู่มันก็เป็นเพียงแค่บทเริ่มต้น ต่อไปนี่สิถึงจะเป็นเนื้อความตอนสำคัญแบบเน้น ๆ

เหลียงมามาที่โดนโบย ก็ขยับเขยื้อนไม่ค่อยจะได้ หลีโม่เรียกให้คนเข้าไปประคองนางให้ออกมา

เดินมาทั้งหมดมีแปดคน โดยทุกคนล้วนแต่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าของหลี่โม่

หลี่โม่ยังไม่ทันได้พูดอะไร เพียงแค่ยกแก้วชาขึ้น แล้วดื่มลงไปอย่างเงียบ ๆ

เหลียงมามาได้รับบาดเจ็บ คุกเข่าไม่ได้ นางอดไม่ได้ที่จะทำท่าทางชิงชังขึ้น “พระชายาเรียกให้ข้าน้อยออกมา มีเรื่องอะไรจะรับสั่งรึเพคะ?”

หลีโม่ค่อย ๆ เป่าชาร้อน ๆ แล้วค่อย ๆ จิบลงไป จากนั้นยิ้มให้ด้วยท่าทางที่อ่อนโยน “ไม่ต้องกลัว ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร ก็แค่ข้าเมื่อครู่ทำความสะอาดเครื่องประดับที่อยู่ในกล่อง ก็พบเข้าว่าของมันหายไปบ้าง ถึงได้เรียกพวกเจ้าออกมาถามดู ว่าตอนที่ข้าไม่อยู่ มีใครกันที่เข้าไปทำความสะอาดในห้อง?”

เหลียงมามาหัวเราะเสียงเย็น “พระชายา คิดอยากจะใส่ร้ายกันตามอำเภอใจ?นี่พระองค์ตั้งใจที่จะหาความกับพวกข้าน้อย ใช่ไหมเพคะ?”

หลีโม่ที่ไม่ได้แสดงท่าทางโกรธเคืองเลยสักนิด พูดขึ้นด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “มามา ข้ายังไม่ได้พูดเลยนะว่าพวกเจ้าเอาไป เพียงแค่ ถ้าหากว่าเอาไปจริง ๆ ก็ให้คืนมา ข้าจะทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น และต่อหน้าพระพักตร์ของฮองไทเฮา ข้าคนนี้จะไม่ปริปากออกไปเลยแม้แต่คำเดียว”

หวงมามาพอเห็นว่าอ๋องหลี่ชินไม่อยู่ แล้วก็ได้เห็นว่าเมื่อครู่ไม่ว่าเรื่องอะไรนางต้องให้อ๋องหลี่ชินเป็นผู้ตัดสินใจ ก็อดไม่ได้ที่จะโมโหขึ้น “ไม่รู้ว่าพระชายาทำของอะไรหายไป?ของที่อยู่ในห้องพระชายานั้น พวกข้าน้อยเคยหาได้แตะต้องไม่ พระชายาแน่ใจได้อย่างไรว่าพวกข้าน้อยเป็นผู้เอาไปกัน?ไม่เห็นว่าจะไปถามคนอื่น ๆ?ที่ตำหนักนี่ก็มีคนมาก่อนตั้งหลายคน”

หลี่โม่ส่งเสียงร้องอย่างประหลาดใจ “หวงมามาได้เตือนสติข้าเข้าให้ เข้ามา ไปเรียกคนทั้งตำหนักทุกคนให้เข้ามา ข้าจะถามให้ละเอียด”

ในช่วงระยะเวลาที่ไม่นาน คนในตำหนักก็มากันพร้อมเพรียง หวังจุ้นหัวหน้าคนรับใช้เมื่อได้ยินว่าของในตำหนักถูกขโมยไป ก็พูดขึ้น “ขอกราบทูลพระชายา นับตั้งแต่ฮองไทเฮาส่งพวกนางมาให้ ของทุกอย่างในห้องพระชายานั้นล้วนแต่เป็นพวกนางที่จัดการ ข้าน้อยและคนอื่น ๆ ไม่มีสิทธิให้เข้าไป”

“ทำความสะอาดปัดกวาดเช็ดถูเล่า?” หลีโม่ถาม

หวังจุ้นพูดขึ้นว่า “ทำความสะอาดนั้นเป็นหมิงเซี่ยและหมิงชิวสองคนที่จัดการ”

ทั้งหมิงเซี่ยและหมิงชิวสองคนต่างก็รีบส่งเสียงร้องขึ้น “พระชายาผู้งามสง่า ข้าน้อยหาได้เคยหยิบสิ่งของอันใดไม่ กล่องเครื่องประดับของพระชายามีกุญแจลั่นเอาไว้ พวกข้าน้อยจะไปกล้าแงะเปิดได้อย่างไร?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พิษรักองค์ชายโฉมงาม