พิษรักองค์ชายโฉมงาม นิยาย บท 687

บทที่ 687 โกหกตัวเองได้สำเร็จมาก

ท่านย่าฉินได้ฟังที่ฉินโจวต่อว่า ก็ทำได้เพียงหัวเราะเย้ย “ใช่ไหม? แต่เป็นเพียงสิ่งที่เจ้าพูดคนเดียว ประวัติศาสตร์ล้วนบันทึกไว้แต่ผู้ที่ประสบความสำเร็จเท่านั้น แต่เจ้าฉินโจวไม่มีโอกาสนี้แล้ว”

ฉินโจวหัวเราะเสียงดัง “ท่านย่าฉิน เจ้าว่าข้าจะมีโอกาสนี้หรือไม่ล่ะ? ในมือค่ะมีทหารม้ามากกว่าห้าแสน แค่เพียงข้ายกทัพเข้าไปในวัง เป่ยม่อก็เป็นของข้าแล้ว”

“เจ้าไม่ทำแบบนี้หรอก” ท่านย่าฉินจ้องมองดูนาง “หากเจ้าจะทำแบบนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องเรียกข้ามา”

“ใช่ ข้าจะไม่ทำแบบนี้” ฉินโจวก็ไม่ปฏิเสธ แม้แต่ทำให้เขาตกใจก็ยังไม่มีอารมณ์ “เพียงแต่ ข้าไม่ทำแบบนี้ ไม่ได้แปลว่าคนอื่นจะไม่ทำ”

“ไม่มีกองกำลังทหารม้าห้าแสนของเจ้า ใครจะสามารถรับมือกับกองกำลังของอ๋องลั่วชิน?” ท่านย่าฉิน มองดูนางอย่างเฉียบคม ยังคงค่อยๆหยั่งเชิง

ฉินโจวหัวเราะ “ก็ไม่รู้เหมือนกัน”

ท่านย่าฉินเก็บสายตา พูดอย่างเรียบเฉยว่า “ไม่ว่าจะคิดอะไรก็ไม่มีประโยชน์ ยังไงวันหนึ่งเจ้าก็ต้องตาย”

“พวกเจ้าคิดว่า หากข้าตายแล้ว ทุกอย่างก็จะเป็นของพวกเจ้าหรือ บางทีอาจจะเป็นเช่นนั้นจริง เพียงแต่ พวกเจ้าจะทำให้ข้าตายได้อย่างไร? ลอบสังหาร? ข้าฉินโจวจะตายอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยไม่ได้ หากฆ่าตายอย่างมีข้อสงสัยเพียงนิดเดียว ก็จะมีคนไปสืบค้น เจ้าคิดว่า จะสืบไม่เจอคนเบื้องบนของพวกเจ้าหรือ? หากสืบเจอ เจ้าคิดว่าคนพวกนั้นยังจะเป็นคนของฉู่จิ้งไหม?”

ท่านย่าฉินขมวดคิ้ว พูดอย่างโมโหว่า “ทุกอย่างของเจ้า ล้วนเป็นฮ่องเต้เป็นคนให้ ฉินโจว เป็นคนอย่าลืมรากฐานเดิมของตัวเอง”

ฉินโจวส่ายหัว หัวเราะอย่างเย็นชาพร้อมพูดว่า “ไม่ ทุกอย่างที่ข้ามี เป็นเพราะข้าต่อสู้มาได้ด้วยตัวเอง สิ่งที่พวกเขายอมรับไม่ใช่ตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของข้า แต่เป็นตัวข้าฉินโจวคนนี้ พวกเขาเห็นว่า ข้าเป็นหัวหน้าที่พวกเขาควรที่จะติดตาม เป็นพี่น้องที่ควรแก่การแลกด้วยชีวิต กลับกัน ทุกอย่างของฉู่จิ้ง ข้าต่างหากที่เป็นคนให้ หากไม่มีข้าช่วยเขารักษาชายแดนให้มั่นคง เขาจะได้นั่งเป็นฮ่องเต้อย่างราบรื่นหรือ? เป่ยม่อสามารถรับมือจากการรุกรานของเซียนเป้ยหรือ? เค้าลืมความเกลียดแค้นของประเทศ ร่วมมือผูกมิตรกับเซียนเป้ย เรื่องนี้เดิมข้าก็ไม่พอใจแล้ว แต่ข้าก็ยังเชื่อฟังคำพูดของเขา เพราะข้าคาดหวัง วันนั้นจะเป็นสงครามศึกครั้งสุดท้าย เพื่อแย่งชิงแผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์มาให้ประชาชนของเป่ยม่อ ข้าจึงยอมทดถอย และข้าก็กลายเป็นแม่ทัพของพวกยึดมั่นทำสงคราม พาคนภายใต้บังคับบัญชาของข้าไปทำศึกสงครามเหนือใต้ เขากลับแอบคิดวางแผนปองร้ายข้า ปองร้ายประชาชน ความจงรักภักดีของข้า ทำร้ายให้มีคนตายแล้วตั้งมากมาย”

ท่านย่าฉินจัดเรียงเสื้อผ้าของตัวเอง พูดขึ้นอย่างเรียบเฉยว่า “เห็นที ยังไงพวกเราก็คุยกันไม่รู้เรื่อง งั้นก็ไม่คุยดีกว่า”

“ที่ข้าเรียกเจ้ามา ก็ไม่ได้เพื่อมาคุยกันอยู่แล้ว เพียงแค่เพื่อตัดขาดความเป็นญาติพี่น้องทางสายเลือดกับเจ้าเท่านั้น ตั้งแต่นี้ไป เจ้าเดินไปตามทางธรรมอันสว่างของเจ้า ข้าจะไปตามทางของข้าคนเดียว” ฉินโจวพูดขึ้นอย่างเย็นชา

“เรียก?” ท่านย่าฉินหัวเราะอย่างไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ “เจ้ามีสิทธิ์อะไรเรียกข้ามา? หรือว่าเจ้าเห็นตัวเองเป็นอ๋องจุ้นจริงๆ”

“ใช่ ข้าคืออ๋องจุ้น ข้าสนับสนุนฮ่องเต้คังผิงเป็นฮ่องเต้ ก็จะทำให้เขาได้อยู่บนตำแหน่งนั้นตลอดไป ส่วนเจ้าสิ เป็นโจรกบฏตัวจริง” ฉินโจวพูดพร้อมชี้นาง

ท่านย่าฉินลุกขึ้นยืน หัวเราะพร้อมพูดอย่างเยือกเย็นว่า “ดี รอดูต่อไป ใครจะหัวเราะได้จนถึงสุดท้าย ข้ารู้ว่าเจ้าจะไปต้าโจว ต้าโจวเป็นที่ที่ดีที่ควรไป? ไปต้าโจวแล้ว กองกำลังทหารห้าแสนคนของเจ้าไม่สามารถตามเจ้าไปได้ หากเกิดเรื่องอะไร ใครจะช่วยเจ้าได้?”

นี่ก็เท่ากับพูดว่า นางฉินโจวเมื่อไปถึงเป่ยม่อแล้ว ก็จะมีหนทางสังหารนาง

ฉินโจวไม่สนใจเลยสักนิด “ตอนที่ข้าอยู่ในคุกหลวง พวกเจ้ายังทำให้ข้าตายไม่ได้ ต้าโจว ไม่ใช่เขตพื้นที่ที่พวกเจ้ามีอำนาจ ข้าจะกลัวอะไร? หรือว่าอาศัยอี๋กุ้ยเฟยคนนั้นที่อยู่ต้าโจวของพวกเจ้าหรือ?”

ในใจเหลาไท่ไท่กระตุก หนังเนื้อบนใบหน้าก็กระตุกหลายที แต่ว่าหลังจากนั้นนางก็พูดอยากสงบว่า “งั้นก็รอดูกันไป”

พูดเสร็จ นางยืดอกหลังตรง ก้าวเท้าเดินออกไป

ฉินโจวพูดอย่างเรียบเฉยอยู่ด้านหลังว่า “ย่าทวด ค่อยๆเดินนะ อย่าหกล้มไปล่ะ”

ท่านย่าฉินเม้นปากหัวเราะเย้ย ดวงตารักกายไปด้วยความโกรธ หันกลับมาพูดว่า “เจ้าคิดว่า ตอนที่อยู่ในคุกหลวงหากจะทำให้เจ้าตายนั้นเป็นเรื่องยากหรือ? ข้าให้โอกาสเจ้า แต่เจ้าปล่อยมันทิ้งไปเอง”

“โอกาส?” ฉินโจวหัวเราะเสียงดัง “ใส่ร้ายว่าข้าฆ่าฮองเฮา ถ้ายอมรับผิดแทน ถูกลงโทษ แล้วหลังจากนั้นล่ะ? ข้ายังจะสามารถรอดปลอดภัยไหม?”

“อย่างน้อย อย่างที่เจ้าพูด เป่ยม่อมีกฎบังคับ เอาผลงานมาลบล้าง ยังไงเจ้าก็ยังสามารถมีชีวิตอยู่”

“ขายผ้าเอาหน้ารอด เอาตัวรอดไปวันๆ ข้าสู้สักตั้งยังดีกว่า” ฉินโจวหุบยิ้มขึ้นมาในทันใด จ้องมองดูนาง “ความจริงแล้ว ข้าก็เคยให้โอกาสเจ้า ตอนอยู่ในคุกหลวง ครั้งสุดท้ายที่เจ้ามาเยี่ยมข้า ข้าพูดกับเจ้าว่า ข้าเคารพเจ้า เจ้าจะใช้ให้ข้าไปทำอะไรก็ได้ แต่ไม่ต้องทำเป็นเสแสร้ง เจ้ารู้ไหม? มองดูเจ้าเสแสร้งแสดงละครอยู่ตรงนั้น ข้ารังเกียจ ขยะแขยงแค่ไหน?”

นางเจ็บปวดใจ แต่ตอนนี้กลับไม่ยินยอมที่จะยอมรับข้อนี้

ท่านย่าฉินหรี่ตาลง “ดี ไม่ต้องสู้กันด้วยน้ำลายแล้ว ข้าจะคอยดูว่าเจ้าฉินโจวจะสามารถที่จะได้กลับมาดำรงตำแหน่งอันสูงส่งของเจ้าไหม”

พูดเสร็จ แล้วก็จากไปอย่างเยือกเย็น

สีหน้าฉินโจวเย็นชา มองดูเงาหลังของนาง มองดูทหารองครักษ์ที่ตามอยู่ข้างหลังนาง ลักษณะท่าทางน่าเกรงขาม สง่าน่าเคารพเลื่อมใสเช่นนี้ ไม่มีท่าทีมีเมตตาเอ็นดูนางแบบนั้นเหมือนเมื่อก่อนแล้ว

นางไม่เคยดูออกหรือเข้าใจย่าทวดคนนี้เลย

นางจับที่รองมือบนเก้าอี้ ค่อยๆนั่งลง แรงที่มีทั้งร่างกายเหมือนหดหายไปทั้งหมดในทันใด ความเข้มแข็งเย็นชาที่มีเมื่อกี้ ล้วนเป็นการแสดงออกมา นางสามารถยืนอยู่ตรงหน้าด่านหน้ากองทัพ ลงมือได้อย่างไม่ยั้งคิด กลับไม่มีหนทาง สู้รบกับญาติพี่น้องของตัวเอง นั่นสิถือเป็นการสู้รบที่โหดร้ายที่สุด

นางพยายามอดกลั้นความทรมานภายในใจ แต่อดทนที่จะไม่สั่นเทาไปทั้งตัวไม่ได้

ซือถูเย้นค่อยเดินออกมา นั่งลงตรงเก้าอี้ที่ท่านย่าฉินนั่งเมื่อกี้

เขาก็ไม่มองฉินโจว เพียงแค่เหมือนกำลังครุ่นคิด

แต่ฉินโจวพูดขึ้นว่า “ท่านอ๋องไม่ต้องเป็นห่วง ข้าไม่เป็นไร”

ซือถูเย้นเงยหัวขึ้น มองนางอย่างนิ่งๆแว้บหนึ่ง “อะไร?”

ฉินโจวเห็นเขาจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จึงรู้ว่าเขาไม่ได้มาเพื่อปลอบนาง จึงพูดขึ้นอย่างไม่พอใจว่า “ไม่ได้พูดอะไร”

“อืม” ซือถูเย้นก้มหน้าต่อ ตกอยู่ในห้วงของการครุ่นคิด

ฉินโจวลุกขึ้นยืน “เชิญท่านอ๋องนั่งตามสบาย ข้าจะกลับไปพักผ่อนแล้ว”

ซือถูเย้นก็เงยหัวขึ้นมาอีก “ในใจสบายขึ้นไหม?”

ฉินโจวมองดูเขา “ท่านอ๋องคิดว่าอย่างไรล่ะ?”

“ไม่รู้” ซือถูเย้นส่ายหัว ริมฝีปากบางแฝงไปด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ย “ถ้าไม่เคยผ่านประสบการณ์พวกนี้ จะไปรู้ได้อย่างไร?”

ฉินโจวพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า “ท่านอ๋องโกหกใคร? ท่านแม่ของเจ้าก็เคยทำร้ายเจ้าไม่ใช่หรือ? ความรู้สึกแบบนี้ ท่านอ๋องรู้ดีที่สุดต่างหาก”

ซือถูเย้นอึ้งไปเล็กน้อย “ใครบอกเจ้าว่านางเป็นแม่ของข้า?”

“ไม่ใช่?” ฉินโจวหรี่ตาลง ลี่งกุ้ยไท่เฟยไม่ใช่แม่ของเขาหรือ?

ซือถูเย้นพูดขึ้นอย่างเชื่องช้าว่า “ตั้งแต่นางมีความคิดที่จะทำร้ายข้าแม้เพียงนิดเดียว นางก็ไม่ใช่แม่ของข้าแล้ว”

ฉินโจวมองดูเขา ไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี “คำพูดที่ท่านอ๋องใช้ปลอบคนอื่น ล้วนแทงใจเช่นนี้หรือ?”

“ใครปลอบเจ้าล่ะ? แค่พูดความจริง นางทำร้ายเจ้า เจ้ายังจะเห็นนางเป็นญาติ คนที่เจ็บปวดเสียใจคือใคร? เรื่องที่เสียเปรียบ ทำไมต้องทำ?”

“คนไม่ใช่ต้นไม้ใบหญ้า...”

“เหลวไหลทั้งเพ” ซือถูเย้นลุกขึ้น พูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า “กับคนที่ทำร้ายเจ้ายังจะเห็นแก่ความสัมพันธ์อะไร? หากเจ้าอยาก ก็ต้องหักห้ามตัวเองไม่ต้องอยาก หากเจ้ายังคิด ก็ต้องหักห้ามตัวเองไม่ให้คิด หากคิดถึงจริงๆ ก็ต้องเอาคนพวกนั้นไปอยู่ในหมวดของคนที่เจ้าแค้น”

พูดเสร็จ แล้วเขาก็เดินออกไป

เหลือฉินโจวยืนนิ่งอยู่กับที่ กำลังย่อยคำพูดของเขาอยู่

ฟังดูแล้วก็เหมือนมีเหตุผล แต่ความไม่รู้จะทำอย่างไรในลับหลัง เกรงว่าคงต้องผ่านประสบการณ์ถึงจะรู้ หากเขาสามารถที่จะปล่อยวางได้อย่างทันใดแบบนั้นจริง แล้วทำไมตอนนั้นถึงไม่ตอบกลับ?

บางทีก็อาจจะเป็นแค่การหลอกตัวเองเท่านั้น แต่ว่าเขาก็ประสบความสำเร็จมาก

โกหกตัวเองจนโกหกได้อย่างประสบความสำเร็จ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พิษรักองค์ชายโฉมงาม