บทที่ 842 ไปส่งหลี่ซ่วยหยุ่น – ตอนที่ต้องอ่านของ พิษรักองค์ชายโฉมงาม
ตอนนี้ของ พิษรักองค์ชายโฉมงาม โดย ใบไม้แดง ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายโรแมนซ์ทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 842 ไปส่งหลี่ซ่วยหยุ่น จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
บทที่ 842 ไปส่งหลี่ซ่วยหยุ่น
หลีโม่รู้ว่าพ่อแม่ของเขาลำเอียงทำให้เป็นปมในใจของเขา จึงพูดขึ้นด้วยเสียงเบาว่า “เจ้าไม่เป็นเช่นนั้น ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เป็นแบบนั้นแน่”
ซือถูเย้นหัวเราะ ดวงตาปกคลุมไปด้วยความโศกเศร้า “ข้ากลัว ข้ากลัวว่าต่อไปข้าจะลำเอียงจริงๆ ยิ่งอยากที่จะเข้าใจนาง ข้าไม่อยากให้อภัยนาง”
ในใจหลีโม่เจ็บปวด “ไอ้เจ็ดผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปเถอะ ไม่ต้องคิดอีก คนก็ตายไปแล้ว อภัยหรือไม่ให้อภัยก็ไม่มีประโยชน์อะไร เราแค่ต้องชีวิตอยู่ให้อยู่ดีมีสุขก็พอแล้ว”
ซือถูเย้นพูดว่า “ใช่ ต่อให้มีคนเป็นพันหมื่นคนทำร้ายเรา อย่างน้อยข้างกายก็ยังมีคนรู้ใจ เพียงพอแล้ว”
“ใช่ เพียงพอแล้ว” หลีโม่พูดกับเขา และก็พูดกับตัวเอง
ตอนนี้นางรู้สึกมีความสุขมาก นี่เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยมีในภพก่อน
ความรู้สึกที่ดีกับไอ้เจ็ดเป็นต้นมา นางก็รู้แล้วว่าตลอดชีวิตนี้มีคนที่ต้องห่วง บางทีอาจด้วยเหตุนี้ ถึงทำให้มีการอดทนทดถอยในก่อนหน้านี้ คนเราในขณะที่มีความสุข มันจะรู้สึกเหมือนไม่เป็นความจริง
งานเลี้ยงครึกครื้นมาก ซือถูเย้นยังได้เชิญเซียวโธ่สองพี่น้องกับซูชิงมาร่วมด้วย เฉินไท่จุนพอรู้ว่าท่านเฒ่าหลี่กลับเมืองหลวง ก็ดีใจมาก มาร่วมด้วยตัวเอง
เพราะจวนอ๋องจัดงานเลี้ยงต้อนรับท่านเฒ่าหลี่ อ๋องอานชินจึงต้องยอมตกลงให้ท่านเจ้าเมืองมาด้วย และเขาเองก็ตามมาด้วย
เวลาประมาณหนึ่งทุ่ม ขุนนางหลี่ก็มาถึง
หลีโม่ก็เพิ่งเคยขุนนางหลี่เห็นเป็นครั้งแรก ท่าทางอายุประมาณเจ็ดสิบ ใบหน้าผอมใส ผมขาว ไว้หนวดยาว สวมชุดสีเขียวอ่อน เรียบง่ายไม่หรูหรา ดูมีความเป็นนักปราชญ์มาก
เขากับหลี่ซ่วยหยุ่นไม่ค่อยเหมือนกัน แต่ท่าทีแบบนั้นเหมือนกันมาก ดูแล้วก็รู้ว่าเป็นคนที่มีความรู้มาก
หลี่ซ่วยหยุ่นได้เจอพ่อของตัวเอง ร่างกายสั่นเทาอย่างแรง น้ำตาไหลอย่างไม่พูดอะไร คุกเข่าอยู่กับพื้น แล้วเรียกว่าท่านพ่อ แล้วก็ร้องไห้จนพูดไม่ออก
ขุนนางหลี่เห็นนางแล้ว ก็ถอนหายใจเบาๆ พยุงนางขึ้นมา “ลุกขึ้นมาเถอะ”
อ๋องอานชินเดินเข้ามา ทำความเคารพอย่างมีมารยาท “ขุนนางหลี่ที่เคารพ”
ขุนนางหลี่ยื่นมือข้างหนึ่งประคองมือหลี่ซ่วยหยุ่น อีกข้างหนึ่งประคองมืออ๋องอานชิน “ท่านอ๋องอย่าได้เกรงใจ”
อ๋องอานชินเคารพนับถือขุนนางหลี่มาก เมื่อก่อนเป็นอย่างไร ตอนนี้ยิ่งมากกว่า
ขุนนางหลี่มองดูหลี่ซ่วยหยุ่น ดวงตาที่เจ็บปวดยากที่จะบดบัง “เจ้าลูกคนนี้ เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ทำไมไม่ส่งจดหมายมาสักฉบับ?”
หลี่ซ่วยหยุ่นร้องไห้พูดว่า “ลูกอกตัญญู ลูกไม่มีหน้าไปเจอหน้ากับท่านพ่อ”
ขุนนางหลี่ต่อว่า “เจ้าคิดเช่นนี้ ช่างโง่เขลาจริงๆ บ้านของเจ้าเป็นกองหนุนหลังของเจ้า เจ้าถูกคนอื่นรังแกถึงขนาดนี้ ยังจะอดทนไว้เอง เสียศักดิ์ศรีที่เป็นลูกสาวของตระกูลหลี่ พ่อสอนเจ้าร่ำเรียนอ่านหนังสือ ไม่เคยสอนเจ้ารักษากฎจนโง่เขลาถึงขนาดนี้”
หลี่ซ่วยหยุ่นยิ่งร้องไห้หนักขึ้น จนแทบจะยืนไม่มั่น อ๋องอานชินมีท่าทีอยากเข้าไปประคองแต่ก็ไม่กล้า
หลีโม่เห็นแล้ว ก็รีบเข้าไปประคองหลี่ซ่วยหยุ่น มองดูขุนนางหลี่แล้วเรียกว่า “ท่านตา”
ขุนนางหลี่มองดูหลีโม่ ดวงตาค่อนข้างเปียกชื้น พูดปลอบว่า “โตขนาดนี้แล้ว ดี ดี”
หลีโม่ไม่รู้ว่าขุนนางหลี่ไปจากเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อไหร่ เพียงแต่ได้ยินว่าหลังจากที่เขาไปจากเมืองหลวงแล้วก็หายตัวไป ไม่ถามเรื่องทางโลก ครั้งนี้รู้ว่าในเมืองหลวงเกิดเรื่องใดอย่างไร?
“ครั้งนี้ท่านตาเดินทางมาลำบากแล้ว เชิญนั่งก่อน” หลีโม่ไม่ถนัดพูดอะไรที่เป็นการไม่ได้เจอกันนาน ยังไงนางก็ไม่ใช้ญาติที่แท้จริงของขุนนางหลี่ ทำไม่ได้ที่จะดีใจจนน้ำตาไหล
หลังจากนั่งประจำที่แล้ว ไอ้เจ็ดกับอ๋องอานชินไม่ถนัดที่จะเป็นคนสร้างบรรยากาศ โชคดีที่มีเซียวโธ่กับซูชิงอยู่ด้วย ทั้งสองคนพูดคุยไปมา บรรยากาศที่โศกเศร้าก็ถูกพัดผ่านไปแล้วอย่างรวดเร็ว
อีกอย่าง เฉินเหลาไท่จุนได้เจอเพื่อนเก่าอีกครั้ง ก็พูดจาเยอะขึ้นมา พูดเรื่องเก่าๆกับขุนนางหลี่อยู่ตลอด ในระหว่างนั้น ก็ดื่มไปหลายแก้ว ทุกคนต่างก็สบายใจขึ้นแล้ว
พูดไปด้วยหัวเราะไปด้วย อาหารมื้อนี้ทานกันจนถึงสามทุ่มถึงค่อยแยกย้ายกันกลับไป
บนรถม้า ซือถูเย้นจับมือหลีโม่ไว้แล้วพูดปลอบว่า “หากเจ้าคิดถึงนาง วันหลังข้าไปต้าเหลียงเพื่อไปเยี่ยมนางกับเจ้า ไม่ต้องเสียใจ”
หลีโม่พูดว่า “ข้าก็ไม่ได้เสียใจ ที่จริงดีใจมากกว่า นางไปต้าเหลียงไปมีชีวิตใหม่ สามารถได้อยู่กับคนที่นางรัก ข้าดีใจกับนางจริงๆ”
“เด็กโง่” ซือถูเย้นใช้มือปัดปลายจมูกของนางหนึ่งที พูดขึ้นอย่างรักใคร่ว่า “เจ้าก็มีคนที่รักเจ้ามากอยู่คนหนึ่ง”
หลีโม่ซบแนบอกของเขา ก่อนหน้านี้ยังคิดอยู่ว่าเขาไม่ยอมพูดกับนางว่ารักนางสองสามคำนี้ ตอนนี้ เขาพูดหลุดปากออกมาแล้ว
คิดถึงคำพูดที่ว่าซึ่งจนฟันร่วง เป็นช่วงเวลาเงียบ ๆ ดั่งเช่นนี้นี่เอง
“ท่านหมอเวินยี่จะมาถึงเมื่อไหร่กันแน่?”
เงียบไปอยู่สักพัก หลีโม่ก็ถามขึ้นมาในทันใด
ซือถูเย้นยิ้มพูดอย่างขมขื่นว่า “อาซื๋อกูกูแอบบอกกับเขาว่า ท่านหมอเวินยี่ไม่มีทางมาแล้ว”
หลีโม่ยึดตัวตรง มองดูซือถูเย้นอย่างตกใจ “ไม่มา? หมายความว่ายังไง? นางจะมาช่วยฮ่องเต้....ไม่ สอนข้ารักษาอาการป่วยของฮ่องเต้ไม่ใช่หรือ?”
ซือถูเย้นพูดว่า “เจ้ารอก่อน อีกสองวันบรรพบุรุษจะต้องหาเหตุผลพูดกับเจ้าว่าท่านหมอเวินยี่มาไม่ได้แล้ว แต่จะให้สูตรยาแก่เจ้า สูตรยานี้จะขาดตัวยาไปสองชนิด ให้เจ้าไปคิดเอง”
“ทำไม?” หลีโม่ไม่เข้าใจ
ซือถูเย้นพูดว่า “สูตรยานี้ น่าจะเป็นบรรพบุรุษเขียนเอง แต่นางไม่อยากให้สูตรยาทั้งหมดแก่เจ้า นางอาจจะยังทำใจไม่ได้ เพราะยังไง สิ่งที่ฮ่องเต้กระทำทำร้ายจิตใจของนางมาก”
…………..
หลีโม่รู้สึกเหมือนตัวเองถูกชักนำ ทำให้รู้สึกดีใจเปล่าๆ แบบนั้น วันนั้นไทฮองไทเฮาพูดเรื่องของท่านหมอเวินยี่ให้นางฟังไปเยอะขนาด หรือว่าเป็นการเรียกน้ำย่อย? ตั้งใจสร้างสถานการณ์ความเป็นมาของท่านหมอเวินยี่ เพื่อที่นางจะได้เชื่อว่าสูตรยาที่นางได้มาเป็นท่านหมอเวินยี่ให้มาจริงๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พิษรักองค์ชายโฉมงาม
จบแบล้วววววว...
900 ตอนแล้ว ชีวิตของหลีโม่แทบหาความสุขไม่เจอเลย แถมลูกก็ถูกคนอื่นเอาไปทิ้งอีก สงสารจับใจ...
ตะว่าไปเรื่องนี้หมุยเฟยกับฮ่องเต้เลวร้ายแบบกินกันไม่ลงนะ ทำร้ายทุกคนที่ดีกับตัวเอง แล้วแางว่าจำเป็นๆ กลับเป็นพวกอี๋เฟยซะอีกที่แย่งแยกพวกำองชัดเจนไปเลย หมุยเฟยนี่นับว่าเป็นคนที่ได้ดีจากการเนรคุณผู้คนรอบข้างโดยแท้...
ฮ่องเต้กับลู่กงกงนี่ ตอนตายคงมีกันแค่ 2 คนละนะ...
อี๋เฟยนี่คือนางฉลาดสุดละในบรรดาเมียของเต้...
ท่านซือถูเย่นใจเย็นๆจากสุราก่อนเจ้าค่ะ สนใจยัยน้องด่วนเด่วจะโดนมิใช่น้อย55555...
โธ่ๆท่านซือถูเย่น เค้าลางกลัวว่าที่ภรรยาในอนาคตมาแต่ไกล รีบซ่อนสุราเลยนะ แต่ไม่น่าจะทัน หลอกใครก็หลอกได้แต่ไม่ใช่กับแม่นางหลีโม่555555...