พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 102

อวิ๋นหลิงตั้งสติมา คิ้วที่ขมวดแน่นพลันคลายออก เผยรอยยิ้มออกมาลาง ๆ และสั่งการว่า “รีบไปเตรียมของว่างกับน้ำชามาเร็ว!”

อู่อันกงผู้นี้เป็นที่ร่ำลือมานาน อวิ๋นหลิงรู้สึกสนใจเขานัก

ว่ากันว่าเขากับพระเจ้าหลวงเป็นพี่น้องร่วมสาบาน ก่อนรับราชการเคยเป็นชาวยุทธผู้หนึ่ง ไม่เพียงฝีมือสูงส่ง ยังมีวิชาแพทย์ที่ล้ำเลิศนัก จนมีฉายาว่าแพทย์ปีศาจ

อวิ๋นหลิงเฝ้ารอให้อู่อันกงกลับมา เพื่อจะได้ช่วยวิจารณ์โสมหิมะน้ำค้างหยกที่นางได้ปรับปรุงสูตรใหม่

“เดี๋ยวจะได้ถามส่วนผสมของธูปหอมคลายอารมณ์ด้วย เผื่อจะได้ความรู้เพิ่มเติม”

อวิ๋นหลิงบ่นพึมพำกับตัวเอง ฉับพลันก็ได้ยินเสียงก้องกังวานดั่งการตีระฆังยักษ์ เสียงนั้นเปี่ยมด้วยกำลังอันกล้าแกร่ง สั่นสะเทือนจนกระเบื้องมุงหลังคาแทบจะร่วงหล่น

“เจ้าสาม เมียของเจ้าอยู่ไหนกัน? ข้าจะดูโสมหิมะน้ำค้างหยกที่นางผลิต ว่าดีเลิศอย่างที่เจ้าว่าจริงหรือไม่!”

นับแต่แคว้นต้าโจวเป็นปึกแผ่น อู่อันกงในบั้นปลายก็มักใช้ชีวิตอยู่กับการท่องเที่ยว เสาะแสวงหาสมุนไพรแปลกประหลาดต่าง ๆ

เขาเคยได้ยินชื่อของอวิ๋นหลิงมาบ้าง แต่ยังไม่เคยพบหน้า

เสียงของเซียวปี้เฉิงตามมาอย่างเร่งรีบ “อาจารย์ปู่โปรดใจเย็น ท่านวางของลงก่อน...”

อวิ๋นหลิงเอื้อมมือไปเปิดม่านบังแดดของศาลา แหงนหน้ามองไป ก็เห็นชายชราร่างผอมใส่ชุดผ้ากระสอบเดินมา บั้นเอวยังผูกปลากินหญ้าอยู่สองตัว ใส่รองเท้าเชือกฟางขาดวิ่น แต่เดินเหินคล่องแคล่ว

เนื้อตัวดูค่อนข้างมอมแมม พื้นรองเท้ากับชายเสื้อเปื้อนดินโคลนมาหมาด ๆ ข้างหลังแบกตะกร้าสานใบใหญ่ ข้างในใส่สมุนไพรหลากหลายที่แม้แต่อวิ๋นหลิงยังดูไม่ออกว่ามีอะไรบ้าง

คิดว่าคนผู้นี้ก็คืออู่อันกง

เซียวปี้เฉิงเอื้อมมือคิดจะช่วยถือตะกร้ายา กลับถูกตีมือเบา ๆ อย่างไม่ไว้หน้า

“อย่ามายุ่ง! พวกนี้คือของดีที่ข้าใช้เวลาสรรหามานาน พวกเจ้าเป็นทหารที่หยาบกร้าน มือไม้ก็รุ่มร่าม ถ้าทำเสียหาย ข้าจะเอาเรื่องให้หนักเชียว”

อู่อันกงบ่นพลางเดินเข้าไปด้านใน พริบตาก็เห็นอวิ๋นหลิงที่อยู่ในศาลาหูซิน

“ดูหน้าตาอัปลักษณ์ของเจ้า คงเป็นเมียที่เจ้าสามเพิ่งแต่งมาล่ะสิท่า!”

เขาเดินก้าวเท้าเข้าไป เบิ่งตาโตมองดูอวิ๋นหลิง สายตาจับจ้องที่ปานบนใบหน้าของนาง เต็มไปด้วยการสำรวจและแปลกใจ

“นังหนู เจ้าเป็นคนคลี่คลายสูตรโสมหิมะน้ำค้างหยกของข้างั้นหรือ?”

ตาแก่เบื้องหน้าคนนี้ดูจะตัวสูงกว่าพระเจ้าหลวงหน่อย ล่ำกว่านิด เสียแต่ผมหงอกขาวกระเซิงเหมือนเล้าไก่ แต่งกายไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย เดินอยู่ข้างทางถูกเรียกเป็นขอทานก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

อวิ๋นหลิงยิ้มเล็กน้อยและไม่โกรธเคือง ซ้ำยังโค้งคำนับให้ “ท่านอู่อันกงเชิญนั่ง ข้าได้สั่งบ่าวไพร่เตรียมของว่างที่คิดสูตรเอง ดูว่าพอจะถูกปากท่านมั้ย”

“เดี๋ยวค่อยกินเถอะ เจ้ารีบเอาโสมหิมะน้ำค้างหยกมาให้ข้าดูก่อน” อู่อันกงโบกมือ หลังจากเดินเข้าศาลา สีหน้าก็แปรเปลี่ยนในทันใด “หือ...นี่มันกลิ่นอะไรน่ะ?”

เซียวปี้เฉิงเห็นสีหน้าเขาจู่ ๆ ก็กลายเป็นเคร่งเครียด ราวกับศัตรูมาอยู่เบื้องหน้า ทำให้พลอยตื่นเต้นและถามว่า “อาจารย์ปู่ มีอะไรผิดปกติงั้นหรือ?”

อู่อันกงสูดอากาศรอบ ๆ อย่างแรง ฉับพลันสายตาก็ไปอยู่ที่ธูปซึ่งอวิ๋นหลิงเพิ่งจุดเมื่อซักครู่นี้

เขาเอื้อมมือไปดึงธูปก้านนั้นด้วยความรวดเร็ว สีหน้าตื่นตระหนกพลางกล่าวว่า “จวนจิ้งอ๋องทำไมมีสารพิษที่หายากอย่างธูปสลายวิญญาณได้!”

อวิ๋นหลิงกับเซียวปี้เฉิงสีหน้างุนงงทั้งคู่ ฝ่ายหลังรีบรุดไปอธิบาย “อาจารย์ปู่เข้าใจผิดหรือเปล่า นี่คือธูปคลายอารมณ์ที่อวิ๋นหลิงคิดค้น หาใช่ยาพิษไม่”

สายตาอู่อันกงจับจ้องอยู่ที่ธูป สีหน้าเคร่งเครียดมีอาการไม่แน่ใจ “ดมอีกทีก็เหมือนขาดความหอมบางอย่าง แต่ทำไมกลิ่นถึงคล้ายคลึงกับเครื่องหอมชนิดนั้นนัก...”

ได้ยินเขาเอ่ยถึงเครื่องหอม อวิ๋นหลิงสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อยและรีบกล่าวว่า “ขอเรียนตามตรง ธูปชนิดนี้ข้าได้มาจากที่อื่น ทั้งไม่รู้ชื่อและไม่รู้ที่มา”

“แต่พบว่ากลิ่นนี้มีสรรพคุณต่อการผ่อนคลายอารมณ์ จึงคิดจะเลียนแบบทำตาม เพียงแต่คิดค้นมาหลายวัน เทียบกับสูตรดั้งเดิมแล้ว ยังไงก็เหมือนขาดความหอมบางอย่าง”

อู่อันกงได้ยินก็รีบถามอย่างร้อนรน “แล้วของเดิมยังอยู่หรือเปล่า? รีบไปเอามาให้ข้าดูซิ”

“อย่าใจร้อน ข้ายังเก็บไว้ส่วนหนึ่ง”

อวิ๋นหลิงพูดพลาง ก็รื้อค้นจากขวดเล็กขวดน้อยที่อยู่บนโต๊ะหิน หยิบธูปสีแดงซึ่งเหลือเพียงปลายนิ้วก้อยออกมาดอกหนึ่ง

อู่อันกงรีบจุดโดยไม่รั้งรอ ฉับพลันในอากาศก็ปรากฏกลิ่นหอมละมุนละไมขึ้นมา

“ข้าจำไม่ผิดแน่ นี่คือธูปสลายวิญญาณ พวกเจ้าไปได้มาจากไหน?”

ได้ยินอู่อันกงบอกว่านี่คือพิษหายาก สีหน้าเซียวปี้เฉิงก็พลอยเคร่งเครียดตาม “หลายวันก่อนในงานเลี้ยงแข่งเรือ มีคนจุดธูปชนิดนี้ในเรือสำราญ อวิ๋นหลิงเกิดความสนใจ จึงนำส่วนที่เหลือกลับมาด้วย”

“อาจารย์ปู่ ท่านบอกว่าธูปนี้เป็นพิษหายากคือหมายความว่ายังไง ข้ากับอวิ๋นหลิงต่างก็เคยสูดควันธูป ไม่เห็นมีอาการถูกพิษใด ๆ เลย?”

อู่อันกงมองดูพวกเขาด้วยสีหน้าขรึม จากนั้นก็เอาตะกร้าสมุนไพรที่แบกอยู่ข้างหลังวางลงแทบเท้า

“อย่าเพิ่งพูดมาก ไปคุยในเรือนดีกว่า!”

ได้ยินดังนี้ อวิ๋นหลิงกับเซียวปี้เฉิงต่างก็มองหน้ากัน และพอคาดเดาถึงความสำคัญของเรื่องราวจากท่าทีของอู่อันกงด้วย

ภายในห้องนั้น อู่อันกงใส่กลอนประตู มั่นใจว่ารอบข้างไม่มีใครอื่นแล้ว จึงได้กล่าวเสียงต่ำ “ธูปสลายวิญญาณนี้หากจะใช้ผ่อนคลายอารมณ์ทั่วไป ก็ย่อมไม่เป็นผลร้ายต่อผู้คน”

“แต่หากมีใครซักคน ร่างกายได้รับกระสายยาเข้าไปก่อน แล้วค่อยสูดดมธูปเข้าไป ภายในสามวันก็จะเสียชีวิตด้วยอาการหลับใหลอย่างไม่รู้ตัว!”

เซียวปี้เฉิงถอนใจโล่งอก “สามวัน? ข้ากับอวิ๋นหลิงดมกลิ่นธูปนี้อย่างน้อยก็ครึ่งเดือน ไม่เห็นจะเกิดอะไรขึ้น มันอาจเป็นแค่ธูปหอมสำหรับผ่อนคลายอารมณ์ก็เป็นได้”

อวิ๋นหลิงก็พลอยพยักหน้าตาม แต่ความเคร่งเครียดบนสีหน้าอู่อันกงก็หาได้คลี่คลายลงไม่

เขาส่ายหน้า กล่าวด้วยความห่วงกังวลว่า “ไม่...พวกเจ้าไม่รู้อะไร ธูปสลายวิญญาณเป็นการคิดค้นของตระกูล เว่ยฉือซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์แห่งเผ่าทูเจวีย และเป็นความลับของพวกเขา หากไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ทูเจวียแล้วจะไม่มีทางรู้สูตรนี้ได้ ยิ่งอย่าว่าแต่ได้ครอบครองธูปเลย เพราะการจะผลิตธูปชนิดนี้ ต้องใช้น้ำแร่จากทะเลสาบจันทร์ฉายซึ่งอยู่ในเผ่าทูเจวียเท่านั้น”

“นอกเหนือจากนี้ ธูปสลายวิญญาณเมื่อผลิตได้สองเดือน ก็จะเสื่อมประสิทธิภาพ กลายเป็นเพียงเครื่องหอมชนิดหนึ่ง แต่ดูจากสีของธูปครึ่งก้านที่อยู่ในมือพวกเจ้า เห็นชัดว่าเพิ่งผลิตออกมายังไม่ถึงสองเดือนแน่นอน!”

เซียวปี้เฉิงเข้าใจความหมายของอู่อันกงในบัดดล สีหน้าก็เริ่มแปรเปลี่ยน

“ความหมายของท่านคือ มีชาวทูเจวียล่วงล้ำมาถึงเมืองหลวงงั้นหรือ?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ