พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 106

พูดถึงหรงฉานกับรุ่ยอ๋อง เซียวปี้เฉิงเกิดอาการลังเลครู่หนึ่ง พลางเอ่ยปากเรียบ ๆ

“ข้าว่าหรงฉานคงไม่ได้คิดอะไรกับรุ่ยอ๋อง เสียดายนางเป็นธิดาคนเดียวของท่านเจิ้นกั๋วกง ได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างดี ก็ยังไม่อาจเลือกคู่เองได้ หรือแม้แต่วันแต่งงานต้องเข้าบ้านพร้อมกับอนุ เจ้าเห็นว่ายังไง?”

“จะคิดอะไรได้? ถ้าเป็นข้าป่านนี้คงหนีไปไกลแล้ว เลือกคู่เองไม่ได้ แต่ข้ามีมือมีเท้า จะตัดสินใจไม่ได้เชียวหรือ”

อวิ๋นหลิงตอบเหมือนไม่ใส่ใจ แต่ฉับพลันเหมือนนึกอะไรได้ หรี่ตาเล็กน้อยแล้วจ้องมองเซียวปี้เฉิง

“ทำไมจู่ ๆ มาถามข้าเรื่องนี้ หรือคิดจะมีเมียน้อยอีกคน เลยมาเลียบ ๆ เคียง ๆ ถามข้าดูก่อน?”

เซียวปี้เฉิงสำลักข้าวทันควัน ต้องดื่มน้ำถ้วยใหญ่กว่าจะตั้งสติกลับคืน เขาประเมินความฉับไวของผู้หญิงต่อเรื่องทำนองนี้ผิดไปมาก จึงรีบนั่งตัวตรง พร้อมกับเชิดหน้าขึ้น

“ข้าก็แค่ถามไปอย่างงั้น เจ้าอย่าคิดส่งเดชล่ะ”

“ข้าไม่ได้คิดส่งเดช วันก่อนที่รุ่ยอ๋องสมรส แขกเหรื่อในงานต่างก็พูดแบบนี้ทั้งนั้น”

“พวกเขาพูดอะไร?”

“พวกเขาบอกว่าตาท่านหายดีแล้ว ส่วนข้าทั้งอัปลักษณ์ทั้งยังท้องโต ท่านกำลังอยู่ในวัยหนุ่มฉกรรจ์ ข้างกายย่อมขาดผู้หญิงไม่ได้ ไม่นานคงมีชายาคนใหม่เข้าจวนมา”

อวิ๋นหลิงมีพลังจิตในตัว คำพูดวิพากษ์วิจารณ์ของแขกเหรื่อทั้งหลาย ย่อมสามารถลอยเข้าหูนางโดยไม่ขาดตกบกพร่อง

ตอนนั้นแม้นางจะไม่สนใจ แต่มาหวนคิดอีกที ก็อดรู้สึกแปลก ๆ ไม่ได้

เซียวปี้เฉิงหน้าบึ้งตึง ในใจนึกโกรธแค้นพวกปากหอยปากปูที่ชอบพูดลับหลังนัก

“เจ้าอย่าไปฟังคนอื่นเพ้อเจ้อเลย ข้าไปอยู่ค่ายทหารตั้งหลายปี อย่าว่าแต่ผู้หญิงเลย แม้แต่แม่ไก่ยังไม่เห็นซักตัว ก็ยังผ่านมาได้ปกติ”

อะไรคือวัยหนุ่มฉกรรจ์ อะไรคือขาดผู้หญิงไม่ได้ หน้าตาอย่างเขาเหมือนคนที่จำเป็นต้องมีผู้หญิงในชีวิตงั้นหรือ

ได้ยินดังนี้ ความรู้สึกในใจของอวิ๋นหลิงก็ค่อยดีขึ้นหน่อย

“ซ้ำยังว่าอีกหน่อยตำแหน่งรัชทายาทจะเป็นของท่าน แต่ละคนล้วนวางแผนว่าจะชักนำบุตรีคนงามให้รู้จักกับท่านยังไงดี”

อวิ๋นหลิงคิดว่าเรื่องนี้เป็นไปได้มาก เพราะพี่น้องของเซียวปี้เฉิงแทบไม่มีใครได้เรื่องซักคน หากนางเป็นจักรพรรดิจาวเหริน ก็คงจะยกบัลลังก์ให้เซียวปี้เฉิงเหมือนกัน

เซียวปี้เฉิงยืนกรานเสียงแข็ง “เจ้าอย่าคิดฟุ้งซ่านไปนักเลย เสด็จพ่อยังทรงแข็งแรงอยู่มาก จะครองบัลลังก์อีกสิบยี่สิบปีก็ไม่มีปัญหา ปุบปับคงไม่ติดแต่งตั้งรัชทายาทหรอก”

อวิ๋นหลิงถามอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “จริงหรือ?”

เซียวปี้เฉิงมีอาการร้อนตัว แต่ก็พยักหน้าหนักแน่น “แน่นอน!”

อวิ๋นหลิงถามจบจึงค่อยนึกขึ้นได้ ว่าช่างทำตัวเหมือนตีตนไปก่อนไข้เสียจริง

รู้ทั้งรู้ว่าคนในยุคสมัยนี้ มีภรรยาหลายคนก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่พอนึกถึงว่าเซียวปี้เฉิงจะแต่งงานใหม่ หรือแม้แต่จะมีหญิงหลายคนมาอยู่ร่วมชายคา นางก็รู้สึกไม่สบายใจนัก

ไม่สบายใจมาก จนอยากตั๊นหน้าเขาซักตั้ง

เห็นแววตาของอวิ๋นหลิงเริ่มแปรเปลี่ยน จิตใต้สำนึกของเซียวปี้เฉิงบอกว่าอันตรายใกล้จะมาเยือน แต่เขาทบทวนแล้วก็เชื่อว่าไม่ได้พูดอะไรผิด ทำไมแววตาที่มองมาถึงดูมีรังสีพิฆาตรุนแรงนัก

“ทำ...ทำไมหรือ? หน้าข้ามีอะไรเปื้อนหรือไง?”

“เปล่า รีบกินเถอะ ข้าจะนอนแล้ว”

นางก็ไม่ได้ชอบคน ๆ นี้ซักหน่อย จะสนใจอะไรนักหนา เกิดมีวันนั้นจริง ๆ ก็เก็บของหนีไปก็สิ้นเรื่อง

อวิ๋นหลิงนึกถึงประโยคนี้อย่างหมดอารมณ์ จึงขึ้นเตียงไปพักผ่อน

เซียวปี้เฉิงนั่งอยู่หน้าโต๊ะกินข้าว จะกินก็ไม่ดี ไม่กินก็ไม่ได้ หัวใจเต้นตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ ชอบกล

“คืนนี้ไม่ฝึกพลังจิตแล้วหรือ?”

“เหนื่อย ไม่อยากฝึกแล้ว”

เซียวปี้เฉิงแอบผิดหวังในใจและร้อง “อ้อ” นางไม่ฝึกพลังจิต ก็แปลว่าคืนนี้เขาไม่ได้อยู่ในห้องของอวิ๋นหลิง และไม่อาจร่วมเรียงเคียงหมอนกับนางได้

......

รุ่งขึ้น อู่อันกงออกจากวังหลวงมายังจวนจิ้งอ๋อง

เขากลับมาคราวนี้ก็ไม่คิดไปไหนอีก เร่ร่อนมากว่าครึ่งชีวิต ดูเหมือนว่าสังขารจะไม่เอื้ออำนวยอีก ขอใช้ชีวิตอยู่กับท่านพี่อาวุโสในบั้นปลายเสียดีกว่า

ตื่นเช้ามา เขาใส่เสื้อกล้ามบางเบา สวมรองเท้าฟางที่ขาดจนไม่รู้จะขาดยังไง เทของรักของหวงที่อยู่ในตะกร้ายาออกมา หลินซินในฐานะลูกศิษย์ ก็ช่วยเขาจัดวางและแบ่งแยกประเภท

อวิ๋นหลิงมองผ่าน ๆ ล้วนเป็นเมล็ดพืชแปลกประหลาดที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน บางชนิดดูแล้วยังสดใหม่ บางชนิดก็ใกล้เหี่ยวเฉาเต็มที

อู่อันกงเห็นสีหน้าประหลาดใจของนาง ก็อดขำไม่ได้ “นางหนูหลิง ได้ยินว่าเจ้าก็เก่งการแพทย์ งั้นพอรู้จักเมล็ดพันธุ์ที่ข้าเอากลับมาบ้างมั้ย?”

หลินซินมือกระตุกเล็กน้อย สายตาจับจ้องไปที่อวิ๋นหลิงโดยไม่รู้ตัว ในใจแอบตื่นเต้น

เมล็ดพันธุ์ที่อู่อันกงนำกลับมานั้น แม้แต่นางยังไม่รู้จัก เกิดให้เด็กรุ่นหลังอย่างอวิ๋นหลิงเรียกชื่อออกมาได้ นางมิเสียหน้าแย่หรอกหรือ

อวิ๋นหลิงส่ายหน้า กล่าวอย่างถ่อมตัว “ขอเรียนตามตรง ของพวกนี้ข้าไม่รู้จักซักอย่าง ยินดีรับการชี้แนะ”

เมื่อเห็นว่าอวิ๋นหลิงก็ไม่รู้จัก หลินซินก็ค่อยเบาใจหน่อย

รอยยิ้มของอู่อันกงปรากฏความภูมิใจมากขึ้น “เหล่านี้ล้วนเป็นสมุนไพรหายากที่มีบันทึกในตำราโบราณ ชั่วชีวิตข้าเดินทางไปมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ ปีนป่ายเขาสูงนับไม่ถ้วน ข้ามผ่านหุบเหวนับไม่ไหว กว่าจะรวบรวมเมล็ดสมุนไพรหายากที่ใกล้สูญพันธุ์เหล่านี้มาได้”

หลินซินยืนอยู่ข้าง ๆ มองดูอู่อันกง รู้สึกเหมือนพลอยได้หน้าไปด้วย

“หวนคิดไปเมื่อสี่สิบกว่าปีที่แล้ว ต้าโจวอยู่ในภาวะสงคราม โรคเฟิงฮัวทำให้ชาวบ้านทุกข์ทนเหลือแสน เป็นเพราะอาจารย์ลำบากตรากตรำ ไปตามหาต้นเฟิงฮัวที่สูญหายไปนาน จึงสามารถรักษาโรคนี้ได้หายขาด ช่วยชีวิตผู้คนให้พ้นความทุกข์ร้อน”

อวิ๋นหลิงแม้ไม่รู้ว่าโรคเฟิงฮัวคืออะไร แต่ก็พอเดาได้ว่า วิธีการของอู่อันกงคือสามารถพิชิตโรคระบาดรุนแรงชนิดหนึ่ง ถือเป็นเกียรติประวัติของมนุษยชาติ สมควรถูกยกย่องและบรรจุเข้าในบทเรียน

ขณะที่ในใจเกิดความเลื่อมใสนั้น ส่วนลึกในหัวใจของอวิ๋นหลิงก็อดรู้สึกอ้างว้างและหนักหน่วงเสียมิไม่ได้

แม้นางจะมีพรสวรรค์ด้านการแพทย์ สิ่งที่วิจัยล้วนเป็นยาพิษและเชื้อโรคชนิดต่าง ๆ ชาติที่แล้วเคยช่วยชีวิตคนก็เพียงหยิบมือเท่านั้น

ตรงข้ามกับยาพิษที่นางวิจัยออกมา ไม่รู้ว่าถูกองค์กรนำไปใช้ทำอะไรบ้าง....

แม้ไม่ใช่สิ่งที่นางเห็นชอบ แต่ในใจก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ และนี่ก็คือสาเหตุสำคัญที่นางต้องการหลบหนีให้พ้นจากองค์กร

หลินซินยิ้มแย้มและเยินยออู่อันกงต่อ “ชั่วชีวิตอาจารย์ไม่กลัวเหนื่อยยาก เพื่อหวังให้สมุนไพรล้ำค่าหลายชนิดเป็นที่รู้จักแก่ผู้คน จะได้ฝากชื่อจารึกไว้ชั่วกาลนาน!”

อู่อันกงเหลือบมองนางเพียงเล็กน้อย “ที่ข้าตามหาสมุนไพร ก็เพื่อให้คนรุ่นหลังมียารักษาในยามเจ็บป่วย ไม่ได้หวังฝากชื่อบ้าบออะไรทั้งสิ้น”

กล่าวพลาง เขาได้คัดเลือกต้นกล้ายาและเมล็ดพันธุ์บางชนิด ส่งให้หลินซิน

“เมล็ดพันธุ์ของสมุนไพรเหล่านี้หายากนัก แต่การเพาะพันธุ์กลับไม่ยากเท่าไหร่ เจ้าทำตามที่ตำราบันทึกไว้ เอาไปปลูกให้หมด”

อู่อันกงไม่ได้บอกว่าเมล็ดเหล่านี้มีชื่ออะไรบ้าง หลินซินแม้จะดูตามตำราก็แยกไม่ออก รู้สึกลำบากใจยิ่งนัก

แต่เมื่อมองอวิ๋นหลิงที่อยู่ข้าง ๆ นางก็ไม่อยากเสียหน้า จึงรีบพยักหน้าด้วยความเคารพ “ศิษย์น้อมรับคำสั่ง”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ