“อุบาสิกาฮู่ซีอยากพบข้า?”
อวิ๋นหลิงจำได้ อุบาสิกาท่านนี้เป็นน้องสาวของนางจวง น้าสาวของเฟิงหยาง
นางรับเทียบเชิญมาดูปราดหนึ่ง ผู้เชิญเป็นชื่อนางจวงเล็ก แสดงว่าการเชิญครั้งนี้เป็นความประสงค์ของอีกฝ่าย หาใช่เฟิงหยางไม่
อาจเป็นเพราะต้องการขอบคุณนางด้วยเรื่องก่อน แต่เชิญนางไปหาเช่นนี้ คงมีเรื่องคุยด้วยกระมัง
การ์ดเชิญระบุวันเวลาอย่างชัดเจน คือวันมะรืนตอนบ่าย
เพราะอย่างไรเสียก็ว่างอยู่แล้ว อวิ๋นหลิงจึงไปจวนราชบัณฑิตตัวคนเดียว
ช่วงนี้ฝนตกไม่หยุด โชคดีที่ไม่มีหิมะตกร่วมด้วยแล้ว พื้นหินเปียกชื้น แต่กลับไม่มีดินโคลน
ตอนนางไปถึงจวนจวง เฟิงหยางออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง จากนั้นก็พาไปยังเรือนรับแขก。
เมื่อไปใกล้ห้องโถงด้านหน้าอวิ๋นหลิงก็ได้กลิ่นหอมของดอกชา
เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นหญิงวัยกลางคนกำลังต้มน้ำชาด้านหลังดงไผ่ เพียงมองด้านข้างก็ชวนให้รู้สึกว่าสง่าผ่าเผยยิ่ง
“ท่านน้า พระชายามาถึงแล้วขอรับ”
นางจวงน้อยได้ยินก็ลุกขึ้นคำนับอย่างไม่รีบไม่ช้า “หม่อมฉันคารวะพระชายา ขอพระชายาทรงพระเจริญ หม่อมฉันรู้สึกเป็นเกียรติยิ่งที่พระองค์ยอมเสด็จมา”
นางสวมกระโปรงสีฟ้าผ้าธรรมดา ใบหน้าไม่มีเครื่องประทิน เพราะยังไม่แต่งงาน ทรงผมยังเป็นการจับทรงแบบดรุณีน้อย หน้าดูอ่อนกว่าวัยยิ่ง
อวิ๋นหลิงแย้มยิ้ม พยุงอีกฝ่ายแล้วเอ่ย “ไม่ต้องเกรงใจ ไม่รู้ว่ามีธุระอะไรกับข้า?”
“หม่อมฉันได้ยินหยางเอ๋อร์พูดบ่อยว่าพระชายาไม่มากพิธี เช่นนั้นหม่อมฉันก็จะไม่พิธีรีตองแล้ว”
นางจวงน้อยพูดเสียงอ่อนโยน ดูเป็นมิตรมาก ไม่เห็นเย่อหยิ่งอย่างที่ร่ำลือ
หลังกล่าวทักทายเสร็จก็พากันหย่อนตัวนั่ง
นางจวงน้อยรินน้ำชาให้อวิ๋นหลิงด้วยตัวเอง พลางกล่าวว่า “รู้ว่าพระชายายุ่งมาก ให้เวลาครึ่งวันก็ถือว่าเป็นเกียรติแล้ว ดังนั้นหม่อมฉันขอพูดตรงๆเลยว่า สาเหตุที่เชิญพระองค์มาเป็นแขกในครั้งนี้ เพราะต้องการขอบคุณที่พระองค์ให้การช่วยเหลือก่อนหน้านี้ ทำให้พี่สาวหม่อมฉันพ้นข้อกล่าวหา ทำให้หยางเอ๋อร์กล้าสู้หน้าผู้อื่น”
“หม่อมฉันไม่มีของล้ำค่า ยากจะตอบแทนบุญคุณครั้งนี้ แต่ก็อยากทำอะไรที่เป็นประโยชน์บ้าง”
“ได้ยินว่าสำนักศึกษากำลังรับสมัครอาจารย์ หม่อมฉันไม่เกง เคยเรียนรู้ตำราตั้งแต่เด็ก พอจะรู้เรื่องประวัติศาสตร์อยู่บ้าง ไม่ทราบว่าจะเข้าตาพระองค์ไหม?”
อวิ๋นหลิงได้ยินก็อึ้ง
นางเคยได้ยินเซียวปี้เฉิงเล่าว่า อุบาสิกาฮู่ซีเป็นอุบาสิกาที่ชื่อเสียงในเมืองหลวง ลายมือการเขียนงดงามยิ่ง ทว่านางไม่เคยรับลูกศิษย์
มีเพียงครั้งเดียวที่อยากตอบแทนบุญคุณตระกูลหรง จึงเคยสอนแม่นางหรงกับแม่นางหลิ่วช่วงหนึ่ง
ผู้ที่มีความรู้กว้างขวาง เป็นคนสันโดษเสนอตัวเป็นอาจารย์สำนักศึกษาชิงอี้ด้วยตัวเอง จะไม่ให้นางตกตะลึงได้อย่างไร
นางจวงน้อยไม่เห็นอวิ๋นหลิงตอบรับ จึงพูดเสียงแผ่วเบาว่า “หากพระชายาอนุญาต หม่อมฉันก็ยินดีไม่รับค่าตอบแทนเพคะ”
ความหมายก็คือยินดีเป็นอาจารย์อาสาสมัคร
อวิ๋นหลิงได้สติก็ไม่ได้รับปากทันที ตั้งใจเอ่ยว่า “ข้าได้ยินว่าท่านชอบความเงียบ ไม่ชอบไปมาหาสู่กับคนนอก หากท่านต้องการตอบแทนบุญคุณก็ไม่จำเป็นต้องทำลายแนวทางการใช้ชีวิตของตัวเอง ข้ารับรู้ถึงน้ำใจของท่านแล้ว”
นางจวงน้อยได้ยินก็เริ่มใจอ่อน ยิ้มอย่างจริงจังมากขึ้น
“หยางเอ๋อร์บอกว่าพระชายาเป็นคนอ่อนโยน วันนี้ได้เจอก็เป็นอย่างที่พูดจริง”
ไม่มีชีวิตแต่งงานและลูกเป็นพันธะผูกมัด นางจวงน้อยก็จมปรักกับการเขียนพู่กันและเรียนรู้ประวัติศาสตร์ เวลาพบปะผู้คนก็จะต้มน้ำชาคุยเรื่องสัจธรรมชีวิต แสดงความคิดที่ผิดเพี้ยนไปจากคนอื่น เวลาสิบกว่าปีนี้นางจึงเก็บเกี่ยวความรู้และเพิ่มพูนทักษะได้มากกว่าสตรีอื่น
จะว่าไปก็ตลก คำวิจารณ์ในวันวานไม่รู้กลายเป็นคำชมและยกย่องตอนไหน ถึงขั้นมีตระกูลสูงศักดิ์เชิญนางเป็นอาจารย์ให้แก่บุตรีแล้วรู้สึกเป็นเกียรติยิ่ง
ทว่านางจวงน้อยไม่เคยรับคำเชิญนั้น
เพราะนางรู้ดีว่าสาเหตุที่ตระกูลสูงศักดิ์เชิญนางเป็นอาจารย์ให้แก่ลูกสาวนั้น ไม่ใช่อยากเรียนรู้การเขียนพู่กันหรือประวัติศาสตร์ แต่อยากให้เป็นสะพานนำลูกสาวไปแต่งงานกับตระกูลที่สูงกว่า หรือแต่งเข้าราชวงศ์
ความคิดต่างหากก็ไม่อาจร่วมทางกันได้
นางหาใช่ไม่อยากสุงสิงกับผู้คนไม่ แต่เพราะยังหาผู้ที่มีใจรักเหมือนกันไม่ได้ต่างหาก
จวบจนสำนักศึกษาชิงอี้ปรากฏ
นางจวงน้อยเฝ้าสังเกตเงียบ ๆ หนึ่งปีกว่าแล้ว จึงมั่นใจว่าเป็นสถานที่ที่นางที่ตามหา
อวิ๋นหลิงตั้งใจรับฟังความในใจของนาง จากนั้นก็ถอนหายใจกล่าวว่า “ที่แท้ก็ผู้มีใจรักเหมือนกันนี่เอง ข้ารู้สึกนับถือความอุทิศตนของท่านอาจารย์ยิ่ง สำนักศึกษาชิงอี้มีอาจารย์เช่นท่าน ถือเป็นบุญของลูกศิษย์”
แม้จะอยู่ในสิ่งแวดล้อมเช่นนี้ แต่นางจวงน้อยกลับตื่นตัวได้ถึงขั้นนี้ ชวนให้นางนับถือยิ่ง
นางยิ้มเอ่ย “ท่านอาจารย์เคยชี้แนะด้านการเขียนพู่กันให้กับชิงเยี่ยนและหลิ่วจือซู่ ข้าย่อมเชื่อในศักยภาพด้านการสอนของท่าน วันหลังข้าจะให้ผู้อำนวยการมาพบท่าน เพื่อคุยเรื่องเข้าไปอยู่ในสำนักศึกษา”
ประโยคนี้เท่ากับกำหนดให้นางจวงน้อยเข้าไปสอนหนังสือในสำนักศึกษาชิงอี้แล้ว
บัดนี้เฟิงหยางที่อยู่ด้านข้างถึงกับเงี่ยหูฟัง
“หลิ่วจือซู่?ท่านน้า คนนี้เคยเป็นลูกศิษย์ของท่านรึ?”

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ
ทำไมใช้เหรียญไม่ได้ติดต่อกันเป็นอาทิตย์ละคะ...
ทำไมแสดงความคิดเห็น แล้วข้อความหายอ่ะ...
ซื้อตอนแล้วไม่ได้ปลดล๊อคค้างไว้เหรอคะ แบบนี้ก็ย้อนกลับมาอ่านไม่ได้สิคะ มือกดโดนผิดวิ่งไปหน้าอื่นต้องเสียเงินอีกรอบงี้เหรอ...
ทำไมซื้อตอนปลดล๊อคแล้ว กลับไปย้อนอ่านต้องปลดล๊อคใหม่คะ...
ทำไมตอนซื้อแล้วล๊อคไม่ได้คะ...
ทำไมซื้อตอนแล้วเปิดหน้าใหม่แล้วย้อนกลับไปอ่านไม่ได้คะ ล๊อคเหมือนเดิมต้องจ่ายเงินซื้อใหม่ตลอดรึคะ...
ทำไมปลดล๊อคแล้ว กดข้ามไปตอนใหม่แล้วย้อนกลับมาอ่านไม่ได้คะ...
ทำไมซื้อตอนไม่ได้คะ...
เติมเหรียญอย่างไร...
วิธีเติมเหรียญตรงไหนอย่างไร...