เข้าสู่ระบบผ่าน

พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 1113

ตามแผนการเดิม หลังจากเฟิงอู๋จีจบการศึกษาแล้วต้องถูกส่งออกไปทำงานนอกเมืองหลวง

แต่ใครจะไปคิดว่าต่อมาเขาได้กลายเป็นลูกศิษย์ของเสวียนจี พอเป็นเช่นนี้ จะส่งเขาออกไปทำงานนอกเมืองหลวงคงไม่เหมาะสมแล้ว

อย่างน้อย เวลาส่วนใหญ่ของเขาก็จะอยู่ภายในเมืองหลวง

อวิ๋นหลิงครุ่นคิดพลางเอ่ยว่า “ไม่สู้ส่งเขาไปทำงานที่ร้านรถไม้จะดีกว่า”

“ปีนี้คนที่ขับขี่รถไม้มีมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว ตอนนั้นพวกเราแค่ตั้งกฎจราจรขั้นพื้นฐานเท่านั้น แต่ไม่ได้วางแผนการจราจรในเมืองหลวง ทำให้ถนนบางเส้นมักจะมีจราจรติดขัด จำเป็นต้องทำการเปลี่ยนเส้นทางจราจร”

เซียวปี้เฉิงได้ยินเช่นนั้น ก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย “แผนการนี้ไม่เลว แม่สาวน้อยก็ปรับปรุงล้อรถไม้อยู่ตลอดมิใช่หรือ ในเมื่ออู๋จีเป็นลูกศิษย์ของนาง ภายหน้าต้องได้รับการสืบทอดวิชาความรู้ ให้ไปฝึกฝนที่ร้านรถไม้ก่อนก็ดี”

“ในระยะเวลาหนึ่งปี กำหนดแผนผังเส้นทางจราจรชุดหนึ่งโดยใช้เมืองหลวงเป็นต้นแบบ อีกทั้งให้ปรับปรุงพัฒนารถไม้ ประการหลังให้แม่สาวน้อยตรวจสอบด้วยตนเอง นี่เป็นการสอบจบการศึกษาของเขา”

ตั้งแต่การปรับปรุงซ่อมแซมถนนหนทาง สภาพถนนของเมืองหลวงแห่งต้าโจวได้เปลี่ยนไปจากเมื่อสามปีก่อนราวฟ้ากับดินแล้ว เรียกได้ว่าสามารถเชื่อมต่อไปทุกทิศทาง

เพียงแต่เกี่ยวพันถึงการวางแผนเส้นทางจราจร ซึ่งมีความรู้อีกแขนงหนึ่งอยู่ในนั้น

ก่อนหน้านี้คลังหลวงได้จ่ายเงิน เลือกเมืองที่เป็นแหล่งการค้าที่สำคัญ ทำการปรับปรุงซ่อมแซมถนนหลวง

เมื่อเป็นเช่นนี้ รถไม้ก็จะยิ่งเป็นที่นิยมแพร่หลายมากขึ้น การวางแผนการจราจรโดยเร็วที่สุดเป็นเรื่องสำคัญมาก

เมืองหลวงทำเป็นตัวอย่างก่อน ขุนนางในพื้นที่จะได้ใช้เป็นแนวทางค่อยๆทำจนสำเร็จ

หลังจากตัดสินใจเรื่องการสอบจบการศึกษาของเฟิงอู๋จีแล้ว เซียวปี้เฉิงก็ยิ้มและพูดว่า “ในเมื่ออู๋จีต้องอยู่ในเมืองหลวง พวกเราจะทำตัวเป็นคนใจดำที่แยกคู่สามีภรรยาออกจากกันไม่ได้ ทางด้านเมิ่งชูก็ให้ไปทำงานที่โรงเรียนอนุบาลและกรมคลังเถอะ”

อวิ๋นหลิงได้ยินน้ำเสียงของเขาที่ไม่มีความลังเลเลยสักนิด อดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้นมา ถามอย่างประหลาดใจว่า “เห็นทีท่านคงจะคิดไว้แล้วว่าจะสอบอะไรนาง”

“ถูกต้อง ปีที่ผ่านมานี้การจัดการของโรงเรียนอนุบาลหลวงได้ผลลัพธ์ที่ไม่เลว หลังจากกำจัดสองตระกูลยินลู่แล้ว การสร้างโรงเรียนอนุบาลเอกชนก็พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว”

พูดถึงตรงนี้ จู่ๆเซียวปี้เฉิงก็หัวเราะขึ้นมาอย่างเจ้าเล่ห์ เอ่ยเสียงเบาว่า “ฮึๆๆ......ก่อนหน้านี้ข้าได้ตระเวนพูดโน้มน้าวเหล่าขุนนางใหญ่ในราชสำนักและพ่อค้าเศรษฐีในเมืองหลวง รวบรวมเงินบริจาคได้ก้อนหนึ่ง จำนวนประมาณนี้”

เขาชูนิ้วสามนิ้วขึ้นมา

“สามแสนตำลึง”

“ไม่ สามสิบล้านตำลึง”

พอได้ยินคำพูดอันทรงพลังของเซียวปี้เฉิง ทำเอาอวิ๋นหลิงตกตะลึงมองตาค้าง “คิดไม่ถึงเลยว่าท่านจะเกลี้ยกล่อมพวกเขาได้บริจาคเงินได้มากขนาดนี้”

นี่แทบจะเท่ากับจำนวนเงินที่คลังหลวงเก็บได้ในหนึ่งปีแล้ว

เซียวปี้เฉิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ก่อนหน้านี้ข้าได้บอกกับคนภายนอกเอาไว้ ภายหน้าหากจัดการเรียนการสอนที่ไม่มีการเก็บค่าใช้จ่าย ถ้าใครบริจาคให้กับสำนักศึกษา ก็จะสลักชื่อของผู้ใจบุญเอาไว้บนแผ่นหินในสำนักศึกษา”

“ผู้คนต่างก็ชื่นชอบการแสวงหาชื่อเสียงผลประโยชน์ เหล่าเศรษฐีผู้มีอำนาจก็เป็นเช่นนี้ ในฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวของทุกปีพวกเขาจะตั้งโรงทานแจกโจ๊ก กระทั่งยังแข่งขันระหว่างกัน จุดประสงค์ก็เพื่อจะให้ได้มาซึ่งชื่อเสียง”

“แต่ถ้าหากแค่บริจาคโจ๊กละก็ บางทีผ่านไปสามปีห้าปีประชาชนก็ลืมไปแล้ว แต่ถ้าหากสามารถสลักชื่อเอาไว้เป็นแผ่นหิน นั่นก็เท่ากับสามารถเล่าสืบทอดกันไปหลายสิบปี กระทั่งร้อยปี”

นี่เป็นภาระที่หนักอึ้งมากแล้ว แต่เขายังอยากจะเพิ่มเงินอุดหนุนและเงินกู้ยืมสำหรับเด็กยากจนที่อวิ๋นหลิงเคยเอ่ยถึงก่อนหน้านี้ลงไปด้วย ช่วยให้ประชาชนสามารถส่งลูกมาเรียนในสำนักศึกษาได้อย่างสบายใจมากขึ้น

แต่โรงเรียนประถมศึกษาเป็นการเรียนโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ในเมื่อมีคำว่า”ไม่มีค่าใช้จ่าย” แน่นอนว่าราชสำนักของต้าโจวจำเป็นต้องมีการลงทุนทั้งกำลังทรัพย์และกำลังคนจำนวนมากในระยะยาว อีกทั้งยังไม่มีมาตรการสำคัญในการหารายได้อย่างแท้จริง

ถ้าหากทางด้านอวิ๋นหลิงสามารถแก้ไขปัญหาเรื่องอาหารได้อย่างราบรื่น ความกดดันของราชสำนักก็จะเบาบางลงไปได้มาก อย่างน้อยการให้กินอาหารวันละสามมื้อก็ไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป

“ถูกต้อง เรื่องนี้จำเป็นต้องทำ” อวิ๋นหลิงพยักหน้าเห็นด้วย “แม้จะต้องทำให้การสร้างโรงเรียนอนุบาลในเมืองอื่นๆล่าช้าลง ก็จำเป็นต้องเร่งสร้างโรงเรียนที่เรียนโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายขึ้นมาโดยเร็วที่สุด”

เพราะโรงเรียนประถมศึกษาเชื่อมโยงกับโรงเรียนอนุบาลและสำนักศึกษาชิงอี้ ขอเพียงมีการก่อตั้งโรงเรียนประถมศึกษา เช่นนั้นในแผนการศึกษาขั้นพื้นฐานของนาง จึงนับว่าเสร็จสิ้นในส่วนที่สำคัญที่สุด นั่นก็หมายความว่าได้สร้างระบบการศึกษาที่สมบูรณ์ขึ้นมาแล้ว

แม้จะอยู่ในรูปแบบที่เล็กมาก แต่มันก็ครบถ้วนสมบูรณ์ ถ้าหากมีเพียงแค่สำนักศึกษาชิงอี้หรือโรงเรียนอนุบาลแค่ไม่กี่แห่ง แผนการใหญ่นี้จะดำเนินการไปได้ไม่ไกล

“ดังนั้น ท่านจึงคิดจะให้เมิ่งชูมาทำเรื่องนี้”

เซียวปี้เฉิงดวงตาแฝงรอยยิ้ม “อืม เรื่องสำคัญเช่นนี้หากมอบให้ขุนนางในราชสำนักอาจทำได้ไม่ดี เมิ่งชูเข้าใจสถานการณ์ของสำนักศึกษาดี รู้ว่าควรจะกำหนดระบบสวัสดิการสำหรับอาจารย์อย่างไร”

“ส่วนทางเหล่าลูกศิษย์ นางจำเป็นต้องศึกษาทั้งในหมู่ประชาชนและกรมคลังให้มากขึ้น โดยอ้างอิงจากโรงเรียนอนุบาล ไตร่ตรองให้ดีว่าจะทำข้อสอบจบการศึกษาให้สำเร็จอย่างไร”

สวัสดิการเงินอุดหนุนแบ่งเป็นหลายระดับ คนแบบไหนมีสวัสดิการเช่นไร ประชาชนที่ลำบากต่างกันต้องการเงินช่วยเหลือด้านไหนมากที่สุด ล้วนต้องทำการอ่านข้อมูลของกรมคลังจำนวนมาก และการออกเยี่ยมประชาชนเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงจึงจะสามารถตัดสินใจได้

อวิ๋นหลิงอดไม่ได้ที่จะยิ้มอยู่ในใจ เห็นทีหนึ่งปีต่อจากนี้นางหนูเมิ่งชูที่แสนจะเกียจคร้านคงต้องยุ่งมากแน่ๆ

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ