เซียวปี้เฉิงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก็รู้สึกว่าไม่มีเหตุผลไหนเหมาะสมเท่าเหตุผลนี้แล้ว
“แม้จะยังไม่มีหลักฐานที่มั่นใจ แต่เหมือนว่าเจ้าจะมั่นใจแล้วว่าฮูหยินเหลียนกับคนของเผ่าทูเจวียมีความเชื่อมโยงกัน”
อวิ๋นหลิงพยักหน้า พูดถึงหลักการในการคาดเดาของตนเอง “ถูกต้อง ครั้งแรกที่ข้าได้พบกับฮูหยินเหลียน ก็รู้สึกว่าเค้าโครงใบหน้าของนางดูคมเข้มกว่าผู้หญิงทั่วไป อีกทั้งนางกับฉู่อวิ๋นหานนั้นมีผิวขาวเผือก เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ยืนยันการคาดเดาของข้าได้”
ในด้านหน้าตา สองแม่ลูกฉู่อวิ๋นหานก็มีลักษณะพิเศษของชาววันตะตกอยู่บ้าง ฮูเหยียนเหลียนจะเห็นได้ชัดกว่าฉู่อวิ๋นหาน
เพียงแต่ความเป็นลูกครึ่งของฮูเหยียนเหลียนให้ความรู้สึกไม่รุนแรงนัก อวิ๋นหลิงเดาว่าตัวนางเองก็มีสายเลือดของคนที่ราบลุ่มเหมือนกัน
“ผิวขาวเผือกหรือ”
“เป็นสีผิวของคนต่างชาติที่เห็นได้บ่อยมาก”
พูดให้ถูกต้องก็คือ คนผิวขาวเผือกเป็นสีผิวที่เห็นได้บ่อยในกลุ่มคนขาว แต่ในกลุ่มคนผิวเหลืองนั้นกลับพบเห็นได้น้อยมาก
เซียวปี้เฉิงไม่รู้ว่าผิวขาวเผือกที่อวิ๋นหลิงพูดถึงหมายถึงอะไร แต่ว่าผิวของฉู่อวิ๋นหานนั้นขาวกว่าคนปกติอยู่หลายส่วนจริงๆ ขาวราวกับหิมะ ตอนเด็กๆมักจะถูกคนรอบข้างอิจฉาและชื่นชมอยู่บ่อยๆ
อวิ๋นหลิงก็ขาวมาก แต่ไม่ได้ดูขาวเผือกจนดูหยิ่งยโสเย็นชาเหมือนกับฉู่อวิ๋นหาน
ผิวพรรณของนางเนียนละเอียดชุ่มชื้นเหมือนเครื่องปั้นดินเผาสีขาว มีสีชมพูอ่อนๆเผยออกมาจากภายในสู่ภายนอก สมกับคำที่ว่าใบหน้าสะสวยเหมือนดั่งดอกท้อ
เซียวปี้เฉิงมองอวิ๋นหลิงอย่างไม่วางตา ใบหน้าครึ่งหนึ่งที่ถูกผ้าคลุมหน้าบางเบาคลุมเอาไว้ กลับยิ่งทำให้รู้สึกไม่อยากละสายตา
เขาพูดขึ้นอย่างอดใจไม่ไหวว่า “แต่ข้าคิดว่าเจ้าดูสวยกว่า”
ดวงตาที่สดใสมีเพียงเงาของอวิ๋นหลิงสะท้อนอยู่ ไม่มีสิ่งอื่นใดเลย
อวิ๋นหลิงลมหายใจสะดุด เผลอหลุบตาลงยิ้มบางๆ “ใช้ได้นี่ ช่วงนี้ท่านอ๋องยิ่งอยู่ก็ยิ่งปากหวานแล้ว”
ก็ไม่รู้ทำไม เมื่อก่อนก็ใช่ว่าจะไม่เคยถูกคนอื่นจ้องมองตรงๆเช่นนี้มาก่อน เพียงแต่เมื่อเผชิญกับสายตาที่สดใสไร้แววความคิดอื่นปะปน หัวใจของนางกลับรู้สึกไม่ค่อยสงบอย่างคาดไม่ถึง
แก้มทั้งสองข้างร้อนผะผ่าวขึ้นมา นี่เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยมีมาก่อน
ดวงตาหรี่ยาวที่อยู่นอกผ้าคลุมใบหน้านั้นยิ้มจนโค้งขึ้น ม่านน้ำใสในดวงตาเป็นระลอกคลื่น ทำให้หัวใจของเซียวปี้เฉิงก็สั่นไหวไปด้วย
“ข้าไม่ได้พูดจาอ่อนหวานเอาใจเจ้าแต่อย่างใด”
อวิ๋นหลิงสามารถเรียกได้ว่าเป็นผู้หญิงที่มีหน้าตาโดดเด่นที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมาในชีวิตนี้ ถึงว่าหรงจั้นเคยพบหน้าแค่ครั้งเดียว หัวใจก็ปลิดปลิวไปแล้ว
เมื่อนึกถึงหรงจั้น ในใจของเซียวปี้เฉิงก็เริ่มสับสนขึ้นมาเบาๆ
ด้านหนึ่ง เขาก็ไม่อยากจะให้อวิ๋นหลิงต้องลำบากในการแต่งหน้าเป็นคนอัปลักษณ์ และต้องทนฟังเสียงเยาะเย้ยจากคนอื่นอีกต่อไป
แต่อีกด้าน ในใจเขาก็รู้สึกหึงหวง เกรงว่าจะมีหรงจั้นคนที่สอง คนที่สามโผล่มาอีก
รู้สึกสับสนวุ่นวายตลอดทาง ทั้งสองไปถึงวังหลวงในช่วงพลบค่ำพอดี
ภายในตำหนักมีผู้คนเดินไปมาขวักไขว่ พออวิ๋นหลิงเงยหน้าขึ้น ก็พบว่ารุ่ยอ๋องกับหรงจั้นนั่งเรียงกันอยู่บนหัวโต๊ะทางซ้ายมือ
งานเลี้ยงในวังเช่นนี้ พระชายารองของเหล่าองค์ชายและท่านอ๋องก็สามารถเข้าร่วมงานได้ แต่เสียดายที่สถานะของฉู่อวิ๋นหานในตอนนี้เป็นเพียงแค่นางสนมเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าร่วมงาน
บนใบหน้าของรุ่ยอ๋องมีรอยยิ้มตามมารยาทแขวนอยู่ เพียงแต่ดูสีหน้าไม่ค่อยจะมีความสุขสักเท่าไหร่ กลับดูเหนื่อยล้าอยู่หลายส่วน
“จิ้งอ๋อง พระชายาจิ้งอ๋องเสด็จมาถึงแล้ว”
หลังจากสิ้นสุดเสียงตะโกนของขันทีในวัง รุ่ยอ๋องจึงเงยหน้าขึ้นมามองพวกเขาแวบหนึ่ง ด้วยแววตาซับซ้อน
อวิ๋นหลิงทำการคำนับจักรพรรดิจาวเหรินที่นั่งอยู่บนบัลลังก์สูงสุด “ถวายบังคมเสด็จพ่อเพคะ”
จักรพรรดิจาวเหรินหัวเราะฮึฮึ “วันนี้นับว่าเป็นกึ่งงานเลี้ยงครอบครัว ไม่ต้องมากพิธี พวกเจ้าไปนั่งเถอะ”
“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ” เซียวปี้เฉิงลุกขึ้นยืน ประคองอวิ๋นหลิงไปนั่งอย่างระมัดระวัง
ไม่รู้ว่าเป็นการคิดไปเองหรือไม่ ไม่เจอกันหลายวัน อวิ๋นหลิงรู้สึกว่าสายตาที่จักรพรรดิจาวเหรินมองนางในวันนี้ดูเมตตาเอ็นดูเป็นพิเศษ ทำให้รู้สึกตื่นเต้นในใจ
นางเหลือบตาขึ้นมองไปรอบๆ พบว่าเหล่าองค์ชายและสองสามีภรรยาเสียอ๋องต่างก็อยู่ครบ ถือได้ว่าเป็นงานเลี้ยงครอบครัวจริงๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ
นึกว่าจะอัพจนจบเสียอีกค่ะ กำลังสนุกเข้มข้นเชียว...
รบกวนแอดช่วยอับต่อไปให้จบเรื่องได้ไหมคะ รออ่านอยู่น้า...
ตอนต่อไปอ่านที่ไหนคะ...
ตอนต่อไป อัพช่วงไหนคะ 😭😭😭...
อัพต่อเถอะนะคะ...กำลังสนุกเลยค่ะ😅😄😊😘...
สนุกมากค่ะ..เดินเรื่องเร็ว..พระเอกไม่โง่..นางเอกฟาดแรงสะใจ...อ่านแล้วบันเทิงมาก55555......
ขอบคุณค่ะ...
รีบมาต่อนะคะ กำลังสนุกเลย...
ขอบคุณน้าค้า ที่ลงทุกวันเลยสนุกมากค่ะ...
ชอบมากเลยค่ะ นางเอกเก่ง❤...