พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 150

ราชสำนักปกคลุมไปด้วยความตึงเครียดระยะหนึ่ง

เป็นเวลาหลายวันติดต่อกันแล้วที่เซียวปี้เฉิงไม่ไปที่ค่ายฝึกทหาร เขาเข้าวังแล้วกลับดึกทุกวัน คิดว่าคงไปหารือวิธีการรับมือ

วันนี้เซียวปี้เฉิงกลับจวน นอกจากมีความเหนื่อยล้าแล้วยังเจือความเกรี้ยวกราดไว้ด้วย

“ข้าได้ยินว่าตระกูลเฟิงบริจาคเงินหนึ่งล้านตำลึงเงิน อันนี้คืออะไรหรือ?”

ถึงแม้อวิ๋นหลิงจะรอคลอดอยู่แต่ในจวน แต่ก็พอจะได้ยินข่าวคราวบ้าง

เซียวปี้เฉิงดื่มน้ำชาเย็นๆ ก่อนจะทุบแก้วบนโต๊ะแรงๆ

“เพราะกองกำลังชายแดนไม่เพียงพอ หลังจากหารือกันแล้วพวกเราตัดสินใจใช้อาวุธเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรบ หลายปีก่อนชาวตะวันตกผลิตอาวุธที่เรียกว่าปืนคาบศิลา สามารถนำดินระเบิดแปรรูปเป็นกระสุนแล้วใส่ด้านในปืนคาบศิลา อาวุธชนิดนี้สามารถฆ่าศัตรูได้ในระยะร้อยเมตร อานุภาพการทำลายล้างแข็งแกร่งมาก แต่ราคาสูงมาก”

อวิ๋นหลิงเลิกคิ้ว สีหน้าเจือความตะลึงเล็กน้อย “ปืนคาบศิลา? ท่านบอกว่ายุคนี้มีปืนไฟแล้วหรือ?”

“ปืนไฟ? เจ้ากำลังพูดถึง ปืนไฟถูหรือไม่? ต้าโจวใช้อาวุธแบบนี้หลายปีแล้ว แต่ข้าเห็นภาพวาดของปืนคาบศิลาแล้วต่างจากปืนไฟถูอย่างลิบลับ”

เซียวปี้เฉิงมองอวิ๋นหลิงด้วยความมึนงง ไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงเรียกปืนคาบศิลาว่าปืนไฟ?

“ถ้ามองจากภายนอกจะดูเหมือนแตกต่างกันจริง แต่ความจริงแล้วปืนคาบศิลาก็พัฒนามาจากปืนไฟถู”

อวิ๋นหลิงอธิบายตอนนี้ เซียวปี้เฉิงก็เข้าใจยาก นางถามเขาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับปืนคาบศิลาเล็กน้อย

ไม่คิดว่าโลกใบนี้จะเหมือนประวัติศาสตร์จีนหลายจุด

ในประวัติศาสตร์จีน หลังจากที่ชาวจีนคิดค้นดินระเบิดกับปืนเผาหน้าไม้แล้ว พอถึงศตวรรษสิบสามก็ได้นำเข้ายุโรป จากนั้นชาวยุโรปจึงเอาปืนคาบศิลาพัฒนาต่อยอดเป็นปืนอาร์ควิบัส

และในโลกใบนี้ แคว้นซีโจวเป็นประเทศที่คิดค้นดินปืนดำ ดังนั้นจึงประดิษย์ปืนไฟถูแบบนี้ได้

คงเป็นเพราะขาดแคลนทุนทรัพย์ จึงไม่ได้พัฒนาอาวุธให้ดีขึ้น ส่งผลให้ชาวฝั่งตรงข้ามน้ำทะเลคิดค้นปืนคาบศิลาได้

“แล้วตระกูลเฟิงบริจาคหนึ่งล้านตำลึงเงินเพื่อผลิตปืนคาบศิลาหรือ?”

“ใช่ แต่เงินก็ยังไม่พออยู่ดี” เซียวปี้เฉิงพยักหน้า “เสด็จพ่อจึงสั่งให้คนส่งสาสน์ไปยังแคว้นตงฉู่ แจ้งให้พวกเขาเตรียมข้อมูลหารือด้านการค้าขายระหว่างแคว้นให้พร้อม แล้วหารือกับทูตพวกเขาสิ้นปี แล้วยังให้พวกเขานำปืนคาบศิลามาให้ดูเป็นตัวอย่างด้วย”

ความหมายของเขาคือจักรพรรดิจ้าวเหรินอยากยืมเงินกับแคว้นตงฉู่

ตอนนี้เกิดเรื่องภายในที่แคว้นเป่ยฉิน ส่วนแคว้นถังใต้ก็ปิดประเทศ ยามนี้จึงได้แต่ขอความช่วยเหลือจากแคว้นตงฉู่แล้ว

หากพูดถึงด้านภูมิทัศน์ ด้านหนึ่งของแคว้นตงฉู่ติดทะเล ส่วนอีกสามด้านที่เหลือมีแคว้นซีโจวเป็นฉากป้องกัน

แคว้นตงฉู่ไม่เพียงแต่ไร้ชาวเหมียวเจียงกับชาวทูเจวียรุกราน ยังสามารถทำการค้ากับแคว้นเพื่อนบ้านได้ด้วย ทั้งยังมีโอกาสได้ทำการค้ากับชาวญี่ปุ่นและชาวตะวันตกด้วย เป็นแคว้นที่ร่ำรวยที่สุดในบรรดาเก้าแคว้น

เซียวปี้เฉิงกล่าวเสียงเคร่งขรึม “แต่หลังจากที่ตระกูลเฟิงบริจาคหนึ่งล้านตำลึงเงินแล้วก็ประกาศในเมืองหลวงเพื่อสร้างอำนาจให้ตัวเอง ยามนี้ประชาชนรู้กันหมดแล้วว่าเกิดเรื่องที่ชายแดน”

อวิ๋นหลิงได้ยินก็เข้าใจทันทีว่าทำไมเขาถึงโมโห

เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ต้องคำนึกถึงสภาพจิตใจของประชาชนเป็นที่ตั้ง ทว่าตระเฟิงกลับป่าวประกาศให้ประชาชนรับรู้เพียงเพราะต้องการสร้างชื่อเสียง สถานการณ์ชายแดนไม่ค่อยดีนัก ง่ายต่อการเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์และความวุ่นวาย

เมื่อนึกถึงจุดนี้ สีหน้าอวิ๋นหลิงก็เผยความกังวลขึ้นมา “ดูเหมือนตอนนี้ต้องจับตามองฮูหยินเหลียนให้ดีแล้ว ช่วงนี้นางต้องมีการเคลื่อนไหวเป็นแน่”

หาไม่แล้วหากอีกฝ่ายรู้เรื่องสกุลฟงแล้วคาบข่าวไปบอกชาวทูเจวีย เช่นนั้นก็ต้องเกิดสงครามที่ชายแดนเป็นแน่

“เสนาบดีเฟิง ไอ้ตาเฒ่าชั่วจงใจทำ หลังจากที่ข้าตาบอด สองปีมานี้เฟิงหยางจึงเป็นผู้บัญชาการทหารในชายแดน เสด็จพ่อคิดจะเรียกตัวเขากลับมา แต่ตอนนี้คงต้องให้เขาอยู่ต่อแล้ว”

เซียวปี้เฉิงกำหมัดไว้แน่น น้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความแค้นเคือง

“ตาเฒ่าชั่วได้ใจเพราะเรื่องนี้ จึงกล้าป่าวประกาศไปทั่ว ถึงจะรู้ว่าเสด็จพ่อจะไม่พอพระทัย แต่ก็รู้ว่าเสด็จพ่อจะทำอะไรตระกูลเฟิงไม่ได้”

จักรพรรดิจ้าวเหรินไม่เพียงแต่เล่นงานพวกเขาไม่ได้ ซ้ำยังต้องชื่นชมพวกเขาด้วยความเดือดดาลอีก

อวิ๋นหลิงพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ดังนั้นเสด็จพ่อจึงไม่ให้เจ้านำทัพ หากเจ้านำทัพเองก็เท่ากับบอกประชาชนว่าตอนนี้ชายแดนกำลังตกอยู่ในอันตราย”

เซียวปี้เฉิงไม่ใช่หนุ่มน้อยที่เริ่มทำงานเป็นทหารเมื่อเจ็ดปีที่แล้วแล้ว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ