พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 19

จากพระที่นั่งบำรุงฤทัยมาถึงวังฉางหนิงมีระยะไกลไม่น้อย อวิ๋นหลิงกับเซียวปี้เฉิงได้ขึ้นรถมา เมื่อเดินเข้าไปยังไม่ถึงหนึ่งนาที

อวิ๋นหลิงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “เหตุใดพระเจ้าหลวงถึงได้อยู่ตำหนักที่ไกลมากขนาดนี้?”

เซียวปี้เฉิงขมวดคิ้วกันแน่น สีหน้าเป็นกังวล “เสด็จปู่ทรงชรามากแล้ว สองปีก่อนได้ทรงความจำเสื่อม จำอะไรไม่ได้ ไม่รู้จักคน เสด็จพ่อจึงย้ายตำหนักนอนของเขาไปยังวังฉางหนิง ที่นั่นเงียบสงบ เหมาะที่จะรักษาอาการป่วย อีกทั้งยังใกล้กับโรงหมอหลวง”

ในสมองของอวิ๋นหลิงไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับพระเจ้าหลวง ระดับความรับรู้ที่มีต่อผู้เฒ่าคนนี้จึงเหมือนกับราษฏรแคว้นต้าโจวทั่วไป

ฮ่องเต้พระองค์ก่อนปกครองแบบเผด็จการอย่างไร้ความปราณี แคว้นต้าโจวก็ถูกรุกราน ราษฏรเบื่อหน่าย จึงถือเสาก่อจลาจล

เดิมทีพระเจ้าหลวงเป็นชาวนาที่เกิดมาในครอบครัวที่ยากจน ถูกจับไปเป็นทหารเกณฑ์ ภายหลังสนับสนุนการแก้ไขความขัดแย้งภายในและประนีประนอมภายนอก ต่อมาจึงได้กลายเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่

ชายผู้เฒ่าคนนี้ที่ไม่เคยพบมาก่อน ตลอดชีวิตของเขาคือตำนาน

มีชายคนหนึ่งของราชวงศ์ต้าโจวคนก่อนที่ได้รับว่าเป็นเทพเจ้าแห่งสงคราม นั่นก็คือพระเจ้าหลวง

นั่งรถมาได้สิบห้านาที ในที่สุดก็มาถึงวังฉางหนิง

อวิ๋นหลิงพยุงเซียวปี้เฉิงเข้าไปในตำหนัก ก็เห็นคนยืนในตำหนักเป็นจำนวนมากแล้ว นอกจากหมอหลวงและพวกนางในแล้ว ยังมีพระโอรสและองค์ชายพระองค์อื่นที่ต่างก็รีบมา

เมื่อเห็นกลุ่มคนแบบนี้ อวิ๋นหลิงเดาว่าพระเจ้าหลวงคงจะไม่ไหวแล้ว ถึงได้เรียกทุกคนมาเช่นนี้

เยี่ยนอ๋องนั่งอยู่บนรถเข็นเก้าอี้ไม้ สีหน้าเศร้าโศก ความสุขที่รักษาพิษเย็นหายไปเมื่อครู่นั้นมองไม่เห็นอีกแล้ว

“พี่สาม เจ้ามาแล้ว”

เซียวปี้เฉิงเมื่อได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นของเขา ในใจก็เครียดมาก “อวี้จือ พระอาการเสด็จปู่เป็นเช่นไรบ้าง”

“อาจารย์หลินซินบอกว่า เสด็จปู่ล้มกระแทกหัว ถึงแม้ว่าสิ่งอื่นจะไม่เป็นอะไร แต่กลับไม่ทรงฟื้น เป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นเจ้าชายนิทรา”

วันนี้หลินซินได้มาเอายาที่โรงหมอหลวง บังเอิญได้พบพระเจ้าหลวงเกิดเรื่องพอดี จึงรีบมา

อวิ๋นหลิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พอเข้าใจได้ว่าเจ้าชายนิทราในที่นี้น่าจะหมายถึงคนที่นอนเป็นผัก

เซียวปี้เฉิงสีหน้าซีดขาว มือข้างลำตัวจับกำปั้นไว้แน่น “เรียกเสด็จปู่ให้ฟื้นขึ้นมาได้ไหม?”

ในโลกมนุษย์ก็มีคนป่วยเจ้าชายนิทรา ได้ยินว่าพ่อแม่ลูกเมียนั่งร้องไห้อยู่ข้างๆทั้งวัน ผู้ป่วยรับรู้ได้ทั้งหมด จากนั้นก็ฟื้นขึ้นมาได้เอง

เยี่ยนอ๋องสูดน้ำมูก ยังคงห้ามตัวเองไม่ได้ร้องไห้ไม่ได้ “อาจารย์หลินซินให้เสด็จพ่อเรียกพวกเรามา อยากจะให้มาลองพูดกับเสด็จปู่ ดูเสียว่าจะเรียกให้เสด็จปู่ฟื้นขึ้นได้หรือไม่”

“เมื่อครู่ข้าได้ลองแล้ว แต่ว่าเสด็จปู่ก็ยังสลบอยู่ ตอนนี้พี่ใหญ่อยู่ในตำหนักด้านใน ไม่รู้ว่าเป็นเช่นไรบ้างอาจารย์หลินซินบอกว่าเขามีความเข้าใจไม่มาก ตอนนี้ได้ให้นกพิราบบินไปส่งสาสน์ที่อู๋อันกงแล้ว แต่ว่าอู๋อันกงอยู่ไกลถึงเป่ยฉิน อย่างน้อยต้องใช้เวลาครึ่งเดือนถึงจะมาถึง”

อวิ๋นหลิงที่ได้ฟัง ก็รู้ว่าเหตุใดเยี่ยนอ๋องถึงได้โศกเศร้าอย่างสิ้นหวังแล้ว

ถึงแม้ผู้ป่วยที่นอนเป็นผักจะสลบไสลไม่รู้สึก แต่ว่ายังมีชีวิตอยู่ อวัยวะต่าง ๆ ก็ทํางานได้ตามปกติ

แต่ว่าอย่างไรก็ตามในยุคสมัยโบราณ ไม่มีความพร้อมและอุปกรณ์การให้อาหารทางสายยาง พระเจ้าหลวงเป็นคนชราที่มีอายุเจ็บสิบกว่าแล้ว หากเพียงกรอกยาต้มข้าวนิดหน่อย เกรงว่าจะอยู่ได้ไม่กี่วัน

อวิ๋นหลิงก้มหัวครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง นางเกิดในศตวรรษที่ยี่สิบสาม องค์กรยังได้ทําการวิจัยเพื่อใช้พลังจิตเรียกผู้ป่วยผักให้ฟื้นขึ้น อีกทั้งนางยังเป็นหนึ่งในนักวิจัยโครงการ

ขณะนั้นเอง ก็มีคนรูปร่างสูงยาวเดินออกมา เป็นผู้ชายที่มีใบหน้าหวานดั่งหยกงาม

เขาเห็นฉู่อวิ๋นหลิงยืนเคียงข้างกับเซียวปี้เฉิง ก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็ขมวดคิ้วแล้วหันไปมองที่อื่น

“พี่ใหญ่!เป็นเช่นไรบ้าง เสด็จปู่ฟื้นหรือยัง?”

เมื่อเห็นรุ่ยอ๋องเดินออกมา เยี่ยนอ๋องก็มองหน้าเขาด้วยความหวัง

รุ่ยอ๋องส่ายหัวและถอนหายใจยาว พูดเสียงเบาว่า “ให้ปี้เฉิงลองเข้าไปดูหน่อย เมื่อก่อนเสด็จปู่ใกล้ชิดกับเขามากที่สุด บางทีอาจจะได้ผล”

เมื่อได้ยินเสียงที่อบอุ่นเหมือนสายลมฤดูใบไม้ผลิ อวิ๋นหลิงก็สังเกตุรุ่ยอ๋อง

ผู้ชายตรงหน้ามีลักษณะของคนมีการศึกษา รูปลักษณ์ที่สง่างาม เป็นผู้ชายรูปงามที่หาได้ยาก แตกต่างจากเซียวปี้เฉิงที่เย็นชาอย่างสิ้นเชิง

นี่คือผู้ชายฉู่อวิ๋นหลิงคิดถึงมาหลายปี

ราวกับว่าจะสังเกตเห็นสายตาของอวิ๋นหลิงที่ไม่อาจหลบเลี่ยงได้ ร่างกายของรุ่ยอ๋องแข็งทื่อไปเล็กน้อยสีหน้าไม่มีความสุข นัยน์ประกายความรังเกียจ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ