พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 271

“แต่เรื่องนี้ก็ผ่านมาสามปีกว่าแล้ว ยังตรวจสอบได้อีกหรือ?”

อวิ๋นหลิงเอียงหน้าถามเขา ปิ่นปักผมเริ่มหลุดออก ทรงผมสยายลงมา ขับเน้นให้นางแลดูน่ารักยิ่งขึ้น

เซียวปี้เฉิงช่วยนางหยิบปิ่นปักผมหยกที่เต็มหัวออกมา จากนั้นก็ตอบว่า “ตอนนั้นมีสายลับของชาวทูเจวียเฝ้าจับตามอง ข้าต้องการตบตาชาวทูเจวีย จึงสับเปลี่ยนผู้ส่งจดหมายกับตราพยัคฆ์เป็นระยะ”

ดังนั้นจึงมีการส่งต่อตราพยัคฆ์หลายครั้ง สุดท้ายจะไปอยู่ในมือของผู้ใด จำต้องค่อย ๆ ตรวจสอบเป็นคน ๆ ไป

เซียวปี้เฉิงวางปิ่นปักผมหยกบนโต๊ะ เปลี่ยนท่าสบายๆแล้วกอดอวิ๋นหลิงต่อ ก่อนจะเริ่มช่วยนางถอดเสื้อหนาๆของนางออก

“แต่โชคดีที่คนเหล่านั้นล้วนเป็นคนที่ข้าเชื่อใจ ตอนนี้ก็ทำงานในตำแหน่งต่างๆในเมืองหลวง เฉียวเย่ก็เป็นหนึ่งในนั้น ถึงจะใช้เวลาตรวจสอบหน่อย แต่ก็ใช่ว่าจะไร้เบาะแส”

อวิ๋นหลิงเพลิดเพลินกับการปรนนิบัติของเซียวปี้เฉิง มุดเข้าไปในผ้าห่มแล้วพูดงึมงำ

“งั้นท่านก็ตรวจสอบให้เร็วหน่อย หาไม่แล้วหากเกินเวลากักบริเวณสามวันของหวงกุ้ยเฟย ข่าวลือระหว่างท่านกับตี้หวู่เหยาต้องรู้กันทั่วบ้านทั่วเมืองแน่”

ด้วยนิสัยของหวงกุ้ยเฟย ไม่ง่ายเลยกว่าอีกฝ่ายจะมีโอกาสหาเรื่องนาง คงไม่มีทางยอมวางมือเพราะคำขู่ไม่กี่ประโยคของนางหรอก

วินาทีที่เห็นหวงกุ้ยเฟย อวิ๋นหลิงก็รู้ว่าไม่มีทางปิดเรื่องของตี้หวู่เหยาได้แน่ อีกสักพักหนึ่งต้องลือกระฉ่อนไปทั่วพระราชวังแน่ และอาจถึงขั้นรู้กันทั้งเมืองหลวง

เซียวปี้เฉิงปรนนิบัตินางเสร็จแล้วจึงจะดึงกวานผมออก ก่อนจะมองนางด้วยความขบขัน

“ตอนอยู่สวนหลวงท่าทางไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน ไฉนยามนี้ถึงกลัวหวงกุ้ยเฟยได้?”

“ใครกลัวนางกัน?” อวิ๋นหลิงส่งเสียงฮึดฮัด “ข้ากังวลว่าองค์หญิงเก้าคิดไม่ตก แล้วค่อยตามรังควานท่านต่างหาก”

สาเหตุที่นางอาละวาด เพราะนอกจากโดนหวงกุ้ยเฟยยั่วโมโหแล้ว นางยังวางมาดให้ตี้หวู่เหยาดู ขู่ขวัญให้อีกฝ่ายล้มเลิกความคิด

ต่อให้หวงกุ้ยเฟยแพร่ข่าวลือไปทั่ว ขอเพียงตี้หวู่เหยายังคิดจะรักษาชื่อเสียงตัวเอง ออกมาปฏิเสธเรื่องนี้ เช่นนั้นก็ยังมีหนทางพลิกสถานการณ์ได้

กลัวก็แต่ตี้หวู่เหยาหน้ามืดตามัว ฉวยโอกาสนี้ตามรังควานเซียวปี้เฉิงไม่เลิก

เซียวปี้เฉิงครุ่นคิดดูแล้วก็กล่าวเสียงเข้มขรึม “ข้าว่าองค์หญิงเก้าไม่ใช่คนหน้าด้าน ตอนที่หวงกุ้ยเฟยถาม ตอนแรกนางยังปฏิเสธเรื่องนี้อยู่เลย”

สิ้นเสียง เขาก็เอาเสื้อคลุมตัวนอกแขวนบนฉากกันลม ก่อนจะมุดเข้าผ้าห่ม

อวิ๋นหลิงทำหน้าโหด ฉวยโอกาสตอนที่เขามุดเข้าใต้ผ้าห่มหยิกเอวเขาแรงๆ

“โอ๊ย...เบาหน่อยสิ”

เซียวปี้เฉิงเจ็บจนกัดฟันกรอด รู้ตัวว่าเมื่อครู่พูดผิดไปจนทำให้นางหึงและไม่พอใจ

อวิ๋นหลิงเอื้อมมือไป ด่าด้วยความหึงหวง “บอกมาสิว่าท่านไปหว่านเสน่ห์ใส่ใครบ้าง”

“เมียจ๋า เจ้าเป็นคนฉลาด ข้าไม่ได้หว่านเสน่ห์ใส่นางจริงๆนะ”

เซียวปี้เฉิงเข้าไปใกล้อย่างด้าน ๆ ก่อนจะไปแกะกระดุมเสื้อนางอย่างช่ำชอง

“น้ำก็ไม่อาบ” อวิ๋นหลิงรู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร ยกมือดันหน้าเซียวปี้เฉิงไปอีกทาง “ถ้ายังคลี่คลายเรื่องตราพยัคฆ์ไม่ได้ เวลานอนท่านก็นอนเฉย ๆ หาไม่แล้วข้าจะให้ท่านไปนอนที่เรือนซู่สือผู้เดียว”

เซียวปี้เฉิงทำหน้าแข็งทื่อ พูดด้วยน้ำเสียงหดหู่ใจ “เมียจ๋า เวลาตอนกลางคืนช่างยาวนานนัก เจ้าทำใจให้ข้านอนในเรือนซู่สือคนเดียวได้อย่างไร...”

“หากพูดมากอีก ท่านก็ไปนอนที่เรือนของเจ้าเสือขี้แยเลย”

“...”

เซียวปี้เฉิงชักมือกลับมา มองอวิ๋นหลิงด้วยแววตาน่าสงสาร แต่นางกลับไม่ใจอ่อน

เขาจึงได้แต่ยอมรับชะตากรรม ดับเทียนแล้วนอนอย่างเชื่อฟัง แต่ภายในใจก็ด่าผู้ที่ทำตราพยัคฆ์หายเป็นร้อยพันครั้ง

เขาหาตัวผู้ที่ทำตราพยัคฆ์หายได้เมื่อใด เขาจะลงโทษอีกฝ่ายอย่างสาสมแน่

......

วันถัดมา เซียวปี้เฉิงก็เริ่มตรวจสอบเรื่องตราพยัคฆ์หาย

อวิ๋นหลิงไม่ได้เข้าวัง ไม่มีอะไรทำ จึงสั่งให้ตงชิงเอาพิณมาให้นางเล่นเพื่อฆ่าเวลา

ตงชิงมองนางด้วยความสงสัย ถามเสียงตะลึงว่า “พระชายา เมื่อก่อนท่านไม่อยากแตะพิณเลย ไยวันนี้ถึงแปลกๆ?”

อวิ๋นหลิงกระแอมเสียงเบา ๆ “ข้าว่าง ไม่มีอะไรทำ อยากจะฆ่าเวลาสักหน่อย ถือโอกาสขัดเกลาจิตใจไปภายในตัว”

“แล้วพระชายาจะเอาคู่มือเพลงพิณแนวไหนเพคะ เพลงเจียงหนานได้ไหม?”

อวิ๋นหลิงนึกถึงบทเพลงที่ตี้หวู่เหยาบรรเลงก็เอ่ยปากพูดว่า “ข้าไม่ชอบเพลงช้า เอาเนื้อเพลงที่ใช้สร้างสีสันในค่ายทหารมา”

ตอนแรกตงชิงเตรียมไปหยิบเนื้อเพลงง่ายๆมา เมื่อได้ยินประโยคนี้ก็ถึงกับพูดไม่ออก

บทเพลงที่เกี่ยวกับสงครามของแคว้นต้าโจวนั้นยากมาก ผู้เล่นพิณจำต้องมีทักษะอันล้ำเลิศ หาไม่แล้วจะไม่สามารถเล่นบทเพลงพวกนี้ได้เลย

พระชายาของนางไม่มีพรสวรรค์ด้านการเล่นพิณแต่เด็ก...แต่เห็นอวิ๋นหลิงอยากลอง ตงชิงจึงทำตามคำสั่ง

และแล้วทั่วทั้งจวนจิ้งอ๋องก็ตกอยู่ในสภาพเจ็บปวดทรมาน

“ตงๆๆ”

สำหรับทักษะการเล่นเครื่องดนตรี อวิ๋นหลิงกับเจ้าของร่างเดิมเหมือนกันทุกประการ

จังหวะของบทเพลงสงครามก็ยากอยู่แล้ว แต่เมื่อนิ้วของอวิ๋นหลิงถ่ายทอดเสียงดนตรีนี้ออกมาก็ยิ่งวุ่นวาย ไร้ท่วงทำนองมากขึ้น

เฉียวเย่ยิ้มขมขื่น “ตำนานเล่ากันว่าหนึ่งร้อยปีก่อน มีปีศาจพิณในยุทธภพคนหนึ่ง สามารถใช้เสียงพิณฆ่าคนอย่างไร้ร่องรอย พระชายากับปีศาจพิณต่างกันแค่พระชายาไม่มีกำลังภายในแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ลู่ฉีถึงกับกินข้าวไม่ลงเลย “ใช่ๆ ไม่รู้ว่าอะไรกระทบจิตใจพระชายากันแน่ รู้สึกทรมานกว่าเสียงร้องไห้ของคุณชายอีก”

เสียงร้องไห้ของต้าเป่ายังต้องสยบให้กับเสียงพิณของพระชายาเลย

“โคก”

แม้แต่เจ้าเสือขี้แยยังเอามือบังหูด้วยความเจ็บปวดเลย

ตลอดสามวันเต็ม ๆ อวิ๋นหลิงเล่นพิณตั้งแต่เช้ายันค่ำด้วยอารมณ์สุนทรีย์ แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าบอกว่ารำคาญหู ทั้งยังต้องพูดปากไม่ตรงกับใจว่า นางเล่นเก่งมาก ไพเราะเสนาะหูจริงๆ

เซียวปี้เฉิงก็กลายเป็นผู้ถูกทรมานอย่างไม่อาจละเว้นได้ ก่อนเข้านอน อวิ๋นหลิงจะเล่นให้เขาฟังหนึ่งเพลงก่อนเสมอ

“เป็นเช่นไรบ้างข้าดีดพิณได้ดีกว่าเมื่อวานแล้วใช่ไหม?”

เสี้ยววินาทีที่อวิ๋นหลิงหันขวับมามองเขา เขาก็เก็บสีหน้าเจ็บปวดและด้านชาไว้

เมื่อเขาเห็นอวิ๋นหลิงส่งแววตาเพื่อขอคำชื่นชม เขาก็ส่งยิ้มแล้วยกหัวแม่มือให้

“เหมือนได้ฟังบทเพลงที่เทวดาบรรเลงบนสวรรค์เลย”

อวิ๋นหลิงจึงเก็บพิณด้วยความพอใจ สีหน้าล่องลอยเล็กน้อย

“ช่วงนี้มีแต่คนชมข้า ข้าว่าแล้วว่าข้ามีพรสวรรค์ด้านดนตรี เสียดายที่ตอนเด็กไม่มีโอกาสฝึก ไม่งั้นคงเทียบองค์หญิงเก้าได้แน่”

“....”

แต่ไหนแต่ไรเซียวปี้เฉิงรู้สึกว่าอวิ๋นหลิงเป็นคนรู้ลิมิตและความสามารถของตัวเองดี แต่ยกเว้นครั้งนี้

เขาภาวนาในใจด้วยความทรมาน ชีวิตแบบนี้เมื่อไหร่จะจบจะสิ้น?

ต้องโทษคนสมองหมูที่ทำตราพยัคฆ์หาย เซียวปี้เฉิงแค้นเคืองอีกฝ่ายอีกครั้ง

ยังดีที่วันที่สี่ เขากับเฉียวเย่ตรวจสอบบุคคลที่เคยดูแลตราพยัคฆ์เมื่อสามปีก่อนได้พอสมควรแล้ว

แต่บทสรุปทำให้เขาประหลาดใจเล็กน้อย เพราะเกี่ยวข้องกับเยี่ยนอ๋อง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ