พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 446

อวิ๋นหลิงอธิบายวิธีการใช้งานห้องสมุดอย่างละเอียดให้เซียวปี้เฉิงฟัง

เซียวปี้เฉิงรับฟังอย่างตั้งใจเสร็จแล้วก็กล่าวว่า “อันที่จริงในวังก็มีสถานที่คล้ายอย่างที่เจ้าบอก เรียกว่าตำหนักอ่านตำรา มีเจ้าหน้าที่รวบรวมและจัดแจงหนังสือและเอกสาร แต่จะให้เข้าไปอ่านเฉพาะข้าราชการเท่านั้น”

เรียกว่าเป็นห้องเก็บสะสมหนังสือของราชวงศ์ก็ว่าได้ แต่ยังไม่เคยมีห้องสมุดบริการประชาชนมาก่อน

อวิ๋นหลิงพยักหน้า “ดังนั้นพวกเราสร้างห้องสมุดในเมืองหลวงขึ้นมาแห่งหนึ่ง พยายามรวบรวมหนังสือทั้งหมดไว้ตรงนั้น แล้วให้ประชาชนยืมไปอ่านโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เช่นนี้ก็สามารถแก้ไขปัญหาได้แล้ว”

เซียวปี้เฉิงย่นคิ้วพิจารณา รู้สึกเห็นด้วยและคัดค้านในเวลาเดียวกัน “ลูกศิษย์เยอะเพียงนี้ แค่สร้างห้องสมุดห้องเดียวก็คงไม่เพียงสำหรับลูกศิษย์ยากไร้หรอก แล้วสำนักศึกษาต่าง ๆ ก็มีห้องสมุดให้ลูกศิษย์ยืมหนังสือไปอ่านด้วย เพียงแต่ยังมีหนังสือไม่มากและไม่ครบถ้วน ไม่เพียงพอต่อความต้องการ แต่ตอนนี้พวกเราสามารถจัดสรรงบประมาณให้สำนักศึกษาดำเนินการจัดหาหนังสือเข้าห้องสมุดตัวเอง เช่นนั้นก็แก้ไขปัญหาได้แล้ว”

เขาเห็นด้วยกับ‘ห้องสมุด’มาก แต่รู้สึกว่าให้สำนักศึกษาดำเนินการแทนจะเหมาะสมกว่า เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดอวิ๋นหลิงต้องใช้งบประมาณก้อนโตเพื่อสร้างห้องสมุดในเมืองหลวงอีก

อวิ๋นหลิงคลี่ยิ้ม “ท่านพูดถูก จัดสรรงบประมาณให้สำนักศึกษาจะเหมาะสมกว่า แต่หนังสือของสำนักศึกษาให้ลูกศิษย์ของตัวเองยืมอ่านเท่านั้น แต่บนโลกนี้ยังมีคนอีกเยอะที่ไม่ได้เป็นลูกศิษย์ในสำนักต่างๆ แต่ก็พอจะอ่านออกเขียนได้บ้าง เพียงแต่เพราะเหตุผลส่วนตัวจึงไม่อาจเข้าไปศึกษาได้ หรือบางรายอาจจะไม่มีเงินส่งลูกหลานเรียนก็เป็นได้”

นางเพิ่งเล่ามาได้ครึ่งทาง ทว่าเซียวปี้เฉิงกลับจินตนาการไปไกล เข้าใจความหมายของอวิ๋นหลิงแล้ว

เมื่อคิดทบทวนดูแล้ว พบว่าบางตระกูล ตอนแรกก็พอจะมีฐานะอยู่บ้าง แต่เป็นเพราะกรณีต่างๆ ส่งผลให้ตระกูลตกอับ สุดท้ายก็ต้องหยุดเรียนเพราะคำนึงถึงปากท้องเป็นอันดับแรก

ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีบางตระกูลส่งลูกเรียนจนสิ้นเนื้อประดาตัว แล้วต้องหยุดเรียนกลางคันอีก

ก่อนหน้านี้ตอนที่พูดคุยกับรุ่ยอ๋อง รุ่ยอ๋องเคยกล่าวว่าเสียดายพวกหัวกะทิ เรียนรู้ไว พวกเขามีโอกาสสอบติดจอหงวน ทว่าเพราะจ่ายค่าเทอมกับซื้อหนังสือไม่ไหว จึงไร้โอกาสศึกษาและเข้าสอบราชการ

อวิ๋นหลิงมองหน้าเซียวปี้เฉิงที่กำลังนิ่งคิดอยู่ ก็พูดต่อไปว่า “หากสร้างห้องสมุดในเมืองหลวงได้แล้ว ข้าจะให้เข้าไปอ่านหนังสือได้ทุกคน มันไม่เพียงแต่สร้างความสะดวกสบายให้กับลูกศิษย์ยากไร้เท่านั้น มันเป็นการสนับสนุนให้ประชาชนรักการอ่าน และเปิดโลกกว้างให้กับพวกเขาด้วย”

คุณค่าอื่นใดหรือจะเทียบการศึกษาหาความรู้ด้วยการเรียนหนังสือได้

ทุกคนล้วนรู้ว่าการเรียนมีผลดี ทว่าใช่ว่าทุกคนจะมีโอกาสเรียนเสมอไป

มีชาวบ้านรู้หนังสือกันเยอะ คนส่วนมากเคยเรียนพิเศษในวัยเด็ก เคยศึกษา‘ตำราพันอักษร’‘คัมภีร์ตรีอักษร’มาก่อน

เพียงแต่พวกเขาไม่มีเงินเรียนต่อ และขาดแคลนทุนทรัพย์ส่งลูกหลานเข้าเรียน หากมีห้องสมุดตามความคิดนี้ ประชาชนก็มีเส้นทางพัฒนาตัวเอง และมีโอกาสสอนหนังสือให้แก่ลูกหลานตัวเองมากขึ้น

ในยุคที่อวิ๋นหลิงเกิด ศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด มีแหล่งความรู้ในโลกอินเทอร์เน็ตให้ศึกษาค้นคว้ามากมาย

พอถึงศตวรรษที่ยี่สิบสามก็มีแหล่งความรู้ที่ผลิตจากกระบวนการสร้างภาพสามมิติผสมผสานกับปัญญาประดิษฐ์ อยากศึกษาด้านไหนก็มีครบครัน

นับแต่ครั้นโบราณกาล อัจฉริยะที่ศึกษาหาความรู้เองจนกลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงก็มีให้เห็นอยู่ทั่วไป

ดังนั้นวิธีการนี้จะสามารถพัฒนาและเพิ่มความรู้ให้แก่ประชาชนได้เป็นแน่ ยิ่งเป็นการเปิดโอกาสให้พวกหมกมุ่นอยู่กับสิ่งชั่วร้ายสามารถดึงตัวเองกลับสู่เส้นทางสว่างได้

เซียวปี้เฉิงนิ่งเงียบอยู่นาน มองอวิ๋นหลิงด้วยความซาบซึ้ง ผ่านไปเนิ่นนานจึงจะเอ่ยว่า

“สาเหตุที่บ้านเมืองไม่เจริญก้าวหน้า เพราะประชาชนขาดความรู้ความสามารถ หลิงเอ๋อร์ช่างรู้จักหาหนทางเหลือเกิน”

‘ห้องสมุด’ที่นางเสนอ ไม่ได้มีประโยชน์แค่สามารถยืมให้ผู้อื่นอ่านเท่านั้น ยังมีความหมายอันซับซ้อนแฝงร่วมด้วย

เมื่อสองสามีภรรยาหารือกันเสร็จสรรพ ตัดสินใจจะสร้างห้องสมุดขึ้นมา จึงเริ่มหารือเรื่องรายละเอียดต่างๆ

เซียวปี้เฉิงเสนอความคิดเห็น “จะไม่ขายหนังสือในห้องสมุดโดยเด็ดขาด แต่จะให้วางเงินค้ำประกันเท่าราคาหนังสือตอนยืม หากไม่มีเงินค้ำประกัน ห้องสมุดก็จะขายกระดาษและดินสอราคาถูก เพื่อให้ผู้ยืมคัดไปศึกษาต่อที่บ้าน”

ยุคนี้หนังสือมีค่ามาก เพื่อป้องกันไม่ใช่โจรขโมยหนังสือไปขายแลกเงิน จำเป็นต้องมีมาตรฐานที่รัดกุม

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ