พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 459

หลิวฉิงมองพวกเขาทั้งสอง ขมวดคิ้วและมิได้เอ่ยคำ

นางไม่เชี่ยวชาญจัดการเรื่องพรรค์นี้ ไม่สามารถให้คำแนะนำดีๆ แก่อวิ๋นหลิงได้ นอกเสียจากอวิ๋นหลิงต้องการให้นางฆ่าคนวางเพลิง นางจะเสนอตัวทำเป็นคนแรกแน่นอน

อวิ๋นหลิงอดขำไม่ได้ กล่าวกับกงจื่อโยวด้วยเสียงอ่อนโยน “ข้าซาบซึ้งในความหวังดีของเจ้า แต่ที่นี่คือแคว้นต้าโจว มิใช่แคว้นถังใต้ เจ้าควรพักฟื้นอยู่ในจวนข้าดีๆ ก็พอ อย่าเที่ยววิ่งไปทั่ว จะให้เหล่าศิษย์ของสำนักทิงเสวี่ยไปเสียเวลากับผู้หญิงจากตระกูลหลี่คนหนึ่ง มันไม่คุ้มเลย แทนที่จะทำเช่นนั้น มิสู้ช่วยข้ารวบรวมหนังสือกลับมาแล้วเอาไปให้ห้องสมุดเยอะๆ จะดีกว่า”

สถานการณ์ของนางไม่ได้น่าอายเท่าของหลงเย่ เรื่องของบุตรสาวตระกูลหลี่นั้นพูดได้เลยว่าจัดการไม่ยาก แต่ไม่คู่ควรจะอยู่ในสายตาต่างหาก

กงจื่อโยวส่ายหน้าพลางยืนกรานว่า “ไม่ได้หรอก ต่อให้ห่านตัวนั้นจะไม่ถึงขั้นภัยคุกคาม แต่ชอบร้องเสียงเจี๊ยวจ๊าวอยู่ข้างๆ น่ารำคาญชะมัด ข้าอยู่จวนจิ้งอ๋องก็ว่างเสียด้วย นอนทั้งวันเหมือนคนไร้ประโยชน์ หาอะไรทำสักหน่อยก็ไม่เลว”

สิ้นคำ เขาก็ให้พวกหน้ากากเงินไปสืบถามและรวบรวมข่าวคราวทุกอย่างของตระกูลหลี่กับหลี่เมิ่งเอ๋อร์

เห็นเช่นนี้ อวิ๋นหลิงก็อดโบกมือปัดความหวังดีของกงจื่อโยวไม่ได้ “เช่นนั้นก็ขอบคุณเจ้าที่เป็นห่วงข้า”

ถึงแม้กงจื่อโยวจะมีเจตนาดี ทว่านี่เป็นวิธีแก้ปัญหาที่ปลายเหตุแต่ต้นตอยังอยู่ หากต้องการยุติเรื่องเช่นนี้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ยังต้องอาศัยพวกเขาทั้งคู่เอง

เห็นชัดว่าเซียวปี้เฉิงรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี นิ่วหน้าเล็กน้อยจนกระทั่งถึงเวลาพักช่วงเย็น

ช่วงต้นคิมหันต์ จักจั่นส่งเสียงเพรียกร้องท่ามกลางสายลมโชยนอกลานบ้าน แสงเทียนวูบไหวอยู่ตรงหน้าต่างฉลุลายบุปผา เขานั่งครุ่นคิดอยู่บนขอบเตียง ใบหน้าครึ่งหนึ่งจมจ่อมอยู่ในเงามืดสลัวราง

อวิ๋นหลิงเอ่ยถามยิ้มๆ “กำลังคิดอะไรอยู่ เห็นท่านขมวดคิ้วมาทั้งวัน หรือว่าน้องห่านผู้นั้นรับมือยากมาก”

เซียวปี้เฉิงส่ายหน้า เม้มปากแล้วตอบว่า “ข้าไม่ได้ใส่ใจตระกูลเฟิงมาตั้งแต่แรก ตระกูลหลี่ก็ย่อมไม่น่ากลัว”

ก่อนหน้านี้ เฟิงจิ่งเหวยจ้องอยากได้ตำแหน่งพระชายาจิ้งอ๋องตาเป็นมัน ถึงขนาดเหิมเกริมลักพาตัวเวินหวยหยูกับอวิ๋นหลิง ซ้ำยังเอาชีวิตอวิ๋นหลิงมาข่มขู่เขาอีกด้วย

เผชิญหน้ากับตระกูลเฟิงที่มีอำนาจล้นฟ้าในเวลานั้น จนเขาเกือบจะใช้หอกแทงเฟิงจิ่งเหวยตายไปเสียแล้ว

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านจะมานั่งอมทุกข์ทำไมกัน”

เซียวปี้เฉิงชะงักไป เอ่ยเนิบช้าด้วยแววตาสับสน “ข้าแค่ไม่อยากให้เจ้าโกรธ ไม่มีความสุข หรือน้อยเนื้อต่ำใจ...หรือบางทีวันหนึ่งอาจทนไม่ไหวอีกต่อไป อยากจะจากไปและใช้ชีวิตที่เงียบสงบ…”

อวิ๋นหลิงตกใจ อดปรายตามองเขาด้วยท่าทางตำหนิไม่ได้ “ดูจากที่ท่านพูด ยังคิดว่าข้าเหมือนเดิมอยู่อีกหรือ ถ้าไม่ได้ดั่งใจหวัง เอะอะก็จะเอาแต่เลิกรากันท่าเดียวอย่างนั้นสิ?”

“ไม่ใช่” เซียวปี้เฉิงส่ายหน้า หรี่ตาลงเล็กน้อย กล่าวด้วยน้ำเสียงเข้ม “ข้าแค่รู้สึกผิดต่อเจ้า ตอนแรกเก็บเจ้าไว้ข้างกายอย่างไร้ยางอาย ทั้งยังให้ชีวิตที่เจ้าต้องการไม่ได้อีกด้วย”

อวิ๋นหลิงเคยกล่าวไว้ว่า ความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ที่สุดในชาติก่อนของนางคืออยากมีอิสระ ใช้ชีวิตอย่างไร้กังวลร่วมกับบรรดาพี่น้องโดยปราศจากความโศกเศร้าหรือปัญหาใดๆ

เซียวปี้เฉิงรู้จักนางดีมาตลอด นางมีนิสัยที่ไม่อยากทนทุกข์ทรมาน

ด้วยพรสวรรค์และความสามารถของอวิ๋นหลิง นางไม่จำเป็นต้องมองสีหน้าใคร หรือทนทุกข์กับความคับข้องใจของผู้อื่นจริงๆ

ไม่เพียงเขาเท่านั้น ทั้งจักรพรรดิจาวเหรินและพระเจ้าหลวงต่างก็รู้จุดนี้ดีเช่นกัน

ดังนั้นเมื่ออวิ๋นหลิงมองว่าอำนาจฮ่องเต้กับการแบ่งชนชั้นสูงต่ำนั้นไม่มีอะไรเลย จักรพรรดิจาวเหรินก็ไม่เคยลงโทษนางอย่างจริงๆ จังๆ ไม่ว่าจะไม่พอใจแค่ไหนก็ตาม

เพราะพวกเขาล้วนรู้อยู่แก่ใจดีว่า แคว้นต้าโจวขาดอวิ๋นหลิงไม่ได้ และไม่ใช่ว่าอวิ๋นหลิงจะแยกออกจากแคว้นต้าโจวไม่ได้

เซียวปี้เฉิงจับมืออวิ๋นหลิงแน่นอย่างอดไม่ได้ “เจ้าแต่งงานกับข้ามานานถึงเพียงนี้ แต่ละวันถ้าไม่คิดกลอุบายวางแผนรับมือ ก็จะวิ่งเต้นทำงานหนักไปทั่วทุกที่ ข้าละอายใจ ไม่อยากให้เจ้าต้องมานั่งเสียใจกับเรื่องรับชายารองในวันหน้า”

อวิ๋นหลิงสัมผัสถึงพลังอันแสนอบอุ่นของเขา ปรับสีหน้าให้อ่อนลงอย่างห้ามไม่ได้ เอนตัวพิงไหล่เขาเบาๆ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ